เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด
Burapanews รายงานว่า เราลองมามาฟังมุมมองของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่อย่าง คุณ เบนซ์-พรชิตา และคุณ มิค-บรมวุฒิ หิรัณยัษฐิติ ที่มีแนวทางการเลี้ยงดู น้องปริม ลูกสาวสุดน่ารักให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยคุณเบนซ์ได้บอกว่า “เบนซ์โตมาจากครอบครัวที่มีความเป็นไทยแท้ ส่วนพื้นฐาน ครอบครัวของพี่มิคจะมีการเลี้ยงดูที่ผสมผสานแบบตะวันตกมากกว่า เราจึงต้องหาวิธีการเลี้ยงดูที่พอดีกับลูกของเรา เบนซ์มองว่าเด็กในปัจจุบันความฉลาดทางอารมณ์ และมีทักษะที่หลากหลายมีความสำคัญพอๆกับความฉลาดทางด้านสติปัญญา ถ้าเป็นไปได้จะพยายามไม่ให้ลูกดูโทรทัศน์หรือเล่นไอแพด เพราะมันทำให้เขาขาดทักษะการสื่อสารและอาจส่งผลให้เกิดสมาธิสั้น”
นอกจากนี้ เบนซ์จะส่งเสริมให้ลูกคิด ตัดสินใจ และแก้ไขปัญหาเอง เป็นการเพิ่มทักษะในการคิดวิเคราะห์อีกทางหนึ่ง เพราะเมื่อถึงวันที่เกิดปัญหาเขาจะได้ช่วยเหลือตัวเองได้ และแน่นอนว่าสิ่งที่เขาคิดและลงมือทำ ไม่จำเป็นต้องทำตามคนอื่น เราสนับสนุนให้เขาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่”สำหรับคุณมิคให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ถ้าพูดถึงความกังวลของการเป็นพ่อแม่ แน่นอนว่าเราต้องกังวลว่า อนาคตลูกของเราจะเติบโตในโลกที่หมุนเร็วแบบนี้ได้อย่างไร ยิ่งสมัยนี้คนเราถูกครอบงำด้วยเทคโนโลยี ทุกอย่างต่างมีข้อดีและข้อเสีย หากพ่อแม่ที่ยื่นโทรศัพท์หรือไอแพดให้ลูกได้เล่นเกมที่สร้างสรรค์ หรือเกมที่ถูกคิดค้นมาให้เหมาะกับเด็กในแต่ละวัย มันคงมีประโยชน์มากกว่าปล่อยให้เด็กเปิดดูยูทูบและเสพในสิ่งที่ไม่เหมาะสมมากกว่า และแน่นอนว่าเราคงพยายามให้เขาได้เล่นสิ่งที่เหมาะกับวัยเค้าให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้”
“อย่างที่ทุกคนบอกว่า เด็กคือผ้าขาว เราคือผู้เติมสีให้เขาเอง เด็กจะ โตขึ้นมาอย่างไรนั้น อยู่ที่วิธีการเลี้ยงดู ดังนั้น สิ่งแรกที่มิคจะสอนลูกคือการรู้จักแบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นการขอบคุณ การกอดกัน ให้คำชม ซึ่งสิ่งเหล่านี้คงต้องใช้จิตวิทยาในการสอนที่สูงมาก แต่ตราบใดที่ลูกมีทักษะด้านนี้ รู้จักที่จะให้ (Give) และรับ (Take) มิคเชื่อว่าโตขึ้นเขาจะไม่มีความเห็น แก่ตัวหรือเอาเปรียบคนอื่นแน่นอน”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม และรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ให้ความรู้ไว้ดังนี้
เพราะคาดเดาล่วงหน้าไม่ได้ว่าสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร พ่อแม่จึงต้องเตรียมลูกให้รอบด้าน คือเปิดโอกาสให้ลูกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับเด็กจริงๆ มีอยู่ไม่กี่เรื่องคือ ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง การแก้ปัญหาการปรับตัวเข้ากับผู้คนและสิ่งแวดล้อม ความสามารถในการสื่อสาร และสามารถที่จะควบคุมตัวเองให้ได้ในทุกสถานการณ์ ถ้าพ่อแม่สามารถเลี้ยงลูกให้ฉลาดคิดและฉลาดทำได้ เด็กก็จะสามารถเติบโต พัฒนา และเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง”
“นอกจากนี้ หากพ่อแม่เข้าใจเรื่องพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย จะรู้ว่าตอนนี้ลูกของเราขาดทักษะด้านไหน และควรจะเติมอะไร ซึ่งพัฒนาการทุกด้านจะสมบูรณ์ได้ มาจากเรื่องเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันที่เราอาจคาดไม่ถึง เช่น เด็กทำลูกบอลกลิ้งเข้าไปใต้โต๊ะ การคิดว่าเขาจะคลานเข้าไปหยิบ เรียกคนอื่นมาช่วยหยิบ หรือไปเอาไม้กวาดมาเขี่ยลูกบอลออกมา ทั้งหมดนี้เป็นการพัฒนาสมองในส่วนการคิดวิเคราะห์ฉับไว ความคิดสร้างสรรค์ การร่วมมือแบ่งปัน และการสื่อสารเฉียบคม ซึ่งเป็น 4 ทักษะ แห่งอนาคตที่สำคัญ และเด็กๆจะขาดทักษะทั้งหมดนี้ไปถ้าหากมัวแต่นั่งเล่นหน้าจอต่างๆ หรือถ้าพ่อแม่ไปจำกัดทางเลือกโดยคิดทุกอย่างไว้ให้ล่วงหน้า หรือทำทุกอย่างให้หมด”
“และปฏิเสธไม่ได้ว่า การพัฒนาทักษะทุกด้านโดยเฉพาะ 4 ทักษะแห่งอนาคต มาจากพื้นฐานการพัฒนาสมองที่สมบูรณ์ ดังนั้น โภชนาการก็สำคัญ การรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนล้วนมีส่วนช่วยพัฒนาสมองได้อย่างครอบคลุม ยกตัวอย่างสารอาหารบางชนิด เช่น กรดไขมันจำเป็นอย่าง DHA ที่ได้รับจากปลาทะเลอย่างทูน่าหรือแซลมอน หรือปลาน้ำจืดที่มีไขมันเยอะอย่างปลาดุก ปลาสวาย หรือปลาสลิด ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ช่วยให้สมองของลูกพร้อมสำหรับการพัฒนาทักษะอื่นๆได้อย่างรวดเร็วในอนาคต”
ยิ่งเซลล์สมองมีการเชื่อมต่อมากขึ้นและเร็วขึ้นเท่าไร พัฒนาการทางสมองของเด็กก็จะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยทางการแพทย์ที่พิสูจน์แล้วว่า ดีเอชเอในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง พัฒนาระดับสติปัญญาการคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร และการแก้ปัญหาซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญของเด็กได้
การที่ผู้ปกครองช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้กับลูกหลานทั้งด้านทักษะทางสติปัญญาและโภชนาการที่เหมาะสม จะช่วยให้เด็กยุคใหม่สามารถเติบโตและก้าวทันโลกได้อย่างสมบูรณ์และมีความสุขอย่างแน่นอน
ที่มา บทสัมภาษณ์จากไทยรัฐออนไลน์