ผู้นำสูงสุดอิหร่าน ชี้ พวกสหรัฐฯกำลังสับสนในภูมิภาคตะวันออกกลาง บ่งบอกถึงความอ่อนแอของพวกเขา
Burapanews สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวปราศรัยเนื่องในวันแรกของศักราชใหม่ ปี1402 (ปฏิทินอิหร่าน)(ตรงกับวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ.2023) จากการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของบรรดาซาอิร(ผู้แสวงบุญ)และประชาชนที่อยู่ในละแวกใกล้ฮะรัมอิมามริฏอ(อ.) โดยท่านผู้นำถือว่า การเปลี่ยนแปลง หมายถึง การเสริมสร้างจุดแข็งและการขจัดจุดด้อยและข้อบกพร่อง เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของประเทศ และท่านยังได้ชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายและความต้องการในการเปลี่ยนแปลงของเหล่าศัตรู โดยท่านกล่าวว่า “เราจะต้องเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงจากการงานที่หนักและยากลำบาก ด้วยเจตจำนงอันแน่วแน่ การเชื่อมั่นต่อตนเองของประชาชาติ ความหวังและความเฉลียวฉลาด และการเปลี่ยนจากจุดด้อยต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจ ให้กลายเป็นจุดเด่นและมีความสดใส”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนได้กล่าวขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าในการเปลี่ยนศักราชใหม่ด้วยการเปลี่ยนสภาพต่างๆของพวกเขาให้เป็นสภาพที่ดี โดยท่านกล่าวว่า “สำหรับในทุกๆการเปลี่ยนแปลง หลังจากที่มีการตะวัซซุล(การแสวงหาสื่อยังพระเจ้า) และการเรียกร้องความต้องการจากพระผู้อภิบาลแล้ว เราก็จะต้องมีความพยายามและการยืนหยัดอย่างมั่นคงด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับปัญหาหลักของประเทศ เป็นพื้นฐานของการขับเคลื่อนของบรรดาเยาวชนที่มีความคิดและมีสติปัญญา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การยกประเด็นการเปลี่ยนแปลงให้ประชาชนรับรู้ ถือเป็นสิ่งที่จำเป็น เหมือนกับในประเด็นที่สำคัญอื่นๆ เพราะว่า หากสาธารณชนไม่ยอมรับความคิดและแนวคิดหนึ่ง ความคิดนั้นก็ไม่สามารถที่จะนำไปสู่การปฏิบัติได้และก็จะมีการลืมเลือนลงไปอย่างช้าๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้แบ่งขอบเขตของความหมายของการเปลี่ยนแปลงกับสิ่งที่เหล่าศัตรูต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง โดยท่านกล่าวว่า “เหล่าศัตรูได้ยกประเด็นการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพวกเหล่านี้มีความต้องการในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและมีความขัดแย้งกับเป้าหมายของรัฐอิสลาม ขณะที่ยังมีบางคนในประเทศที่ได้ปฏิบัติตามหรือลอกเลียนแบบพวกเหล่านี้ด้วยเช่นกัน หรือด้วยการมีแรงจูงใจอื่นๆ ก็พูดคำนั้นซ้ำๆหลายครั้ง ซึ่งคำพูดนั้นก็คือ การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญหรือโครงสร้างของรัฐอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายหลักของเหล่าศัตรู จากการยกประเด็นความหมายของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง การเปลี่ยนแปลง และการปฏิวัติ หรือคำอื่นๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของสาธารณรัฐอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เป้าหมายของศัตรูคือ การกำจัดจุดแข็งของประเทศและรัฐอิสลาม การลืมเลือนประเด็นที่ทำให้ประชาชนต้องรำลึกถึงการปฏิวัติอิสลาม อิสลามอันบริสุทธิ์และความเป็นนักการปฏิวัติ ด้วยการกล่าวชื่อของท่านอิมามโคมัยนีหลายครั้ง การพูดถึงประเด็นคำสั่งสอนของท่านอิมาม ประเด็นวิลายะตุลฟะกีฮ์ ประเด็นวันที่ 22 เดือนบะฮ์มัน และการเข้าร่วมด้วยความกระตือรือร้นของประชาชนในการเลือกตั้ง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเปลี่ยนระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอิสลาม เป็นการปกครองแบบปัจเจกชนและเป็นผู้ปฏิบัติตามหรือการปกครองแบบผิวเผินเป็นประชาธิปไตย แต่ในการปฏิบัติ จะต้องเชื่อฟังเหล่าพวกชาติตะวันตก เป็นเป้าหมายสูงสุดในการเปลี่ยนแปลงของเหล่ามหาอำนาจ จอมอหังการ โดยท่านกล่าวว่า “พวกเหล่านั้นจะทำทุกวิธีการ เพื่อที่จะเข้ามามีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ เหนืออิหร่านและมีการปล้มสะดมประเทศ”
หลังจากที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้แบ่งขอบเขต การรู้จักจุดแข็งและจุดด้อยของประเทศ ถือว่าเป็นพื้นฐานที่จำเป็นในการเปลี่ยนแปลง โดยท่านกล่าวว่า “การดำเนินตามเส้นทางที่ยากลำบากของการเปลี่ยนแปลงนั้น ต้องการความเชื่อมั่นต่อตัวเองของประชาชาติ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประชาชาติอิหร่านมีความเชื่อมั่นต่อตัวเอง และท่านยังได้ชี้ให้เห็นถึงเกียรติยศของตัวเอง ความเป็นอิสระ และความกล้าหาญของประชาชาติ โดยท่านกล่าวว่า “องค์ประกอบ ประการที่สอง ในการดำเนินตามเส้นทางของการเปลี่ยนแปลง คือ การมีความเฉลียวฉลาด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเพิกเฉยและการไม่ใส่ใจต่อความเฉลียวฉลาด เป็นเหตุที่อาจจะเกิดความเสียหายกับจุดแข็งต่างๆ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ผู้ที่เห็นอกเห็นใจบางคนหรือเหล่าผู้ที่มีความรักและความห่วงใยต่อรัฐอิสลามและการปฏิวัติอิสลาม ในบางครั้ง สำหรับการขับเคลื่อนและการปฏิรูปที่ดี ขณะที่มีการเพิกเฉยและการไม่ระมัดระวังอย่างละเอียด จะก่อให้เกิดความเสียหายกับจุดแข็งต่างๆของรัฐอิสลาม ซึ่งเราจะต้องมีการระมัดระวังต่อการเพิกเฉยประเภทนี้ด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การระมัดระวังจุดแข็งต่างๆและการรู้จักมัน เป็นสิ่งที่จำเป็น และท่านผู้นำยังเรียกร้องให้บรรดาเยาวชนใช้ความคิดและไตร่ตรองเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวและมีความร่วมมือกันอีกด้วย
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีโครงสร้างภายในที่แข็งแกร่งและการมีความมั่นคงของประชาชาติอิหร่าน เป็นหนึ่งในจุดแข็งที่ชัดเจนของประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “ความแข็งแกร่งและความมั่นคงภายในนี้ เกิดขึ้นมาจากความศรัทธาของประชาชน เพราะว่า แม้แต่บางคนที่ไม่ยึดมั่นอย่างสมบูรณ์ต่อหลักการปฏิบัติ พวกเขาก็มีความศรัทธาต่อพระเจ้า อัลกุรอาน และบรรดาอิมาม ผู้ชี้นำ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายถึงสัญลักษณ์ที่ชัดเจนของความแข็งแกร่งภายในของประชาชาติอิหร่าน โดยท่านได้ชี้ให้เห็นถึงการพิชิตของประชาชาติเหนือห่วงโซ่ของความเป็นศัตรูที่ต่อเนื่องอย่างยาวนานหลายทศวรรษของเหล่ามหาอำนาจ จอมอหังการ โดยท่านกล่าวว่า “ประเทศไหนและการปฏิวัติใดหรือที่สามารถยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับเหล่าประเทศมหาอำนาจของโลกได้อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายสิบปี และยังไม่ยอมจำนนอีกด้วย?
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การก่อรัฐประหาร การคว่ำบาตร แรงกดดันทางการเมือง การโจมตีทางการสื่อสารอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แผนการสมรู้ร่วมคิดด้านความมั่นคง และการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นมิติต่างๆของแผนการสมรู้ร่วมคิดอย่างต่อเนื่องของเหล่าศัตรู โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในครั้งล่าสุดของความเป็นศัตรูเหล่านี้ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและบางประเทศในยุโรปได้ให้การสนับสนุนต่อการก่อจลาจลอย่างเปิดเผย ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา ด้วยเปอร์เซ็นต์ที่มีจำนวนน้อยมาก และมีความพยายามอย่างน้อยที่สุด ที่จะทำให้สาธารณรัฐอิสลามต้องพบกับความอ่อนแอลง ด้วยการสนับสนุนด้านต่างๆทางอาวุธยุทโธปกรณ์ การสนับสนุนทางการเมือง การเงิน ความมั่นคง และทางการสื่อสาร แต่ในภาคสนาม กลับตรงกันข้ามกับเป้าหมายนี้ และสาธารณรัฐอิสลามได้รับชัยชนะเหนือแผนการสมรู้ร่วมคิดระดับโลกนี้และยังแสดงให้เห็นว่า มีความแข็งแกร่งและมีความมั่นคงอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วันที่ 22 เดือนบะฮ์มัน ปี 1401 เป็นการแสดงให้เห็นถึงรากฐานภายในที่แข็งแกร่งของรัฐอิสลาม และด้วยการเข้าร่วมของประชาชนที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและมีจำนวนที่มากกว่าเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันในปีที่ผ่านมา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การได้รับความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติในด้านต่างๆ เป็นอีกสัญลักษณ์ประการหนึ่งของการมีความมั่นคงภายในประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การได้รับความก้าวหน้าในยุคสมัยที่มีการปิดล้อมทางเศรษฐกิจและการสร้างแรงกดดันที่รุนแรงที่สุด เป็นผลงานที่โดดเด่นของประชาชาติ โดยท่านกล่าวว่า “พวกสหรัฐได้ยอมรับด้วยคำโกหกทั้งหมดของพวกเขาว่า แรงกดดันทางเศรษฐกิจที่มีต่อประชาชาติอิหร่านนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการจัดอันดับประเทศชั้นนำของโลกในสาขาต่างๆ เช่น นาโนเทคโนโลยีและเทคโนโลยีชีวภาพ ความก้าวหน้าในด้านสุขภาพ การบินและอวกาศ นิวเคลียร์ การป้องกันประเทศ โครงสร้างพื้นฐาน ศูนย์การแพทย์และสุขภาพ โรงกลั่น และสาขาอื่นๆของประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “ในประเด็นความสัมพันธ์ด้านต่างประเทศ ขณะที่เหล่าศัตรูต่างพยายามของศัตรูที่จะโดดเดี่ยวอิหร่าน ก็ต้องพบกับความล้มเหลวด้วยเช่นกัน และสาธารณรัฐอิสลามจะขยายความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และทางเทคนิคกับประเทศต่างๆที่สำคัญในภูมิภาค ด้วยการกระชับความสัมพันธ์กับเอเชียอย่างร้อยเปอร์เซ็นเต็ม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “การเข้าเป็นสมาชิกในสนธิสัญญาที่สำคัญในระดับภูมิภาคและการกระชับความสัมพันธ์กับแอฟริกาและละตินอเมริกา ถือเป็นความก้าวหน้าทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ขณะที่เรานั้นไม่โกรธพวกยุโรปและเราพร้อมที่จะทำงานร่วมกับพวกเขา หากพวกเขาเลิกที่จะปฏิบัติตามพวกสหรัฐฯ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความศรัทธา ความรู้สึกถึงการมีเกียรติยศของประชาชาติ และการพึ่งพาศักยภาพในประเทศ เป็นปัจจัยและพื้นฐานของความก้าวหน้าของประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “จุดแข็งอื่นๆ ของรัฐอิสลาม รวมทั้งสาธารณรัฐและอิสลาม ก็จะต้องมีการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี หลังจากที่ได้กล่าวถึงจุดแข็งต่างๆของประเทศแล้ว ท่านผู้นำได้อธิบายถึงจุดด้อยและความต้องการในการเปลี่ยนแปลง โดยท่านกล่าวว่า “จุดด้อยที่สำคัญที่สุดคือ ประเด็นเศรษฐกิจและนโยบายด้านเศรษฐกิจ ซึ่งหลายประเด็นนั้น เป็นมรดกที่ได้รับตกทอดมาจากบรรดาผู้ล่วงลับจากการปฏิวัติอิสลามและบางส่วนมีความเกี่ยวข้องกันหลังจากการปฏิวัติอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ปัญหาที่สำคัญที่สุดและจุดด้อยของเศรษฐกิจของประเทศ คือ ความเป็นรัฐบาลของเศรษฐกิจและการเป็นผู้ประกอบการแบบสุดโต่งที่เกิดขึ้นจากนโยบายด้านเศรษฐกิจในทศวรรษที่ 60 โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ผลลัพธ์ของส่วนเกินนี้ คือ การถอนตัวของประชาชนออกจากการขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่และการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ซึ่งเราจะเห็นถึงการเกิดขึ้นของปัญหาต่างๆในประเทศในวันนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วัตถุประสงค์ของการประกาศนโยบายทั่วไปของมาตราที่ 44 เพื่อให้มีการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจให้กับประชาชน โดยท่านกล่าวว่า “ในภาคส่วนที่สำคัญของเศรษฐกิจและการผลิต จะต้องอยู่ในการดูแลประชาชน และดังที่เรานั้นได้เคยกล่าวย้ำมาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า บริษัทนายหน้าของรัฐฯ รัฐวิสาหกิจและบริษัทกึ่งรัฐฯ ซึ่งบางครั้งเรียกว่า เป็นการครอบงำ อย่าได้เป็นคู่แข่งกับบริษัทเอกชนเป็นอันขาด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การไม่เกิดขึ้นของความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ ด้วยการนำเอาต้นแบบของรัฐบาลมาเป็นกุญแจไขปัญหาทางเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดของวิธีการนี้ โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “รัฐบาลจะต้องลดการบริหารและการแทรกแซงในระบบเศรษฐกิจและการปล่อยให้เป็นหน้าที่ของประชาชนเข้ามาดูแลเอง แน่นอนว่า เราได้ให้คำแนะนำนี้ไปยังหลายรัฐบาลแล้ว แต่ทว่ามิได้มีการปฏิบัติหรือมีการดำเนินการด้วยวิธีการที่ผิดพลาด ซึ่งผลลัพท์ของมัน ก็จะสร้างความเสียหายให้กับประชาชน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ข้อบกพร่องอีกประการหนึ่ง คือ การทำให้เศรษฐกิจของประเทศต้องพึ่งพายังน้ำมันดิบ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “สะดือของเศรษฐกิจ จะต้องทำให้ออกจากการส่งออกน้ำมันดิบและเราให้ความสนใจไปยังการขับเคลื่อนที่ไม่ต้องพึ่งพาน้ำมัน เพื่อที่จะหารายได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งตามรายงานต่างๆ กล่าวว่า ได้มีการดำเนินการอย่างดีในประเด็นนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า การพึ่งพาเศรษฐกิจของประเทศด้วยสกุลเงินดอลลาร์ เป็นจุดด้อยอีกประการหนึ่ง โดยท่านกล่าวเสริม “บางประเทศที่ถูกคว่ำบาตรโดยพวกตะวันตก ก็ดีขึ้น ด้วยการตัดขาดจากพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์และการประกอบธุรกรรมกับสกุลเงินท้องถิ่น และเราจะต้องดำเนินการอย่างนี้ด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอของประเทศในทศวรรษที่ 90 เป็นจุดด้อยอีกประการหนึ่ง โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “บางปีในทศวรรษที่ 90 เศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่าหนึ่ง และในช่วงการบริหารของรัฐบาลชุดปัจจุบัน อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นต่ำมาก เช่นกัน ในขณะที่ สำหรับการปรับปรุงสภาพเศรษฐกิจของประเทศนั้น เราต้องการการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องมีการเพิ่มการผลิต ด้วยความช่วยเหลือและคำชี้นำของประชาชน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลและสมาชิกรัฐสภา ส่งเสริมและชี้นำประชาชนให้มีบทบาทในการสร้างผลผลิตในระบบเศรษฐกิจของประเทศ และการสร้างความไว้วางใจต่อการลงทุนของภาคเอกชนและการประกอบการ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “หากใช้ประโยชน์จากขีดความสามารถของประชาชนทั้งในด้านเศรษฐกิจและการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น สถานการณ์ของการดำรงชีพของประชาชนจะดีขึ้นอย่างแน่นอนและอัตราเงินเฟ้อก็จะดีขึ้นด้วย อีกทั้งคำขวัญประจำปีก็จะบรรลุผลสำเร็จ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเพิกเฉยต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในประเด็นทางเศรษฐกิจ เป็นจุดด้อยอีกประการหนึ่ง และท่านได้ให้คำแนะนำกับบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯและผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่ใส่ใจต่อชะตากรรมของประเทศ สำหรับการเสาะหาวิธีการในการมีส่วนร่วมของประชาชนในภาคเศรษฐกิจ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เมื่อใดก็ตามที่ประชาชนเข้ามา เรานั้นก็จะได้รับความก้าวหน้า เช่น ในช่วงสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์และปัญหาทางการเมือง ด้วยเหตุนี้เอง การกำหนดวิธีการของการขับเคลื่อนของประชาชนในภาคเศรษฐกิจ เราก็จะประสบความสำเร็จในด้านนี้ด้วยเช่นกัน”
การเพิ่มการขับเคลื่อนทางการค้าต่างประเทศ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทต่างๆและการขับเคลื่อนของบริษัทฐานความรู้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายตามนโยบายด้านกฎหมาย และการหลีกเลี่ยงออกจากการสร้างค่าใช้จ่ายที่แน่นอนสำหรับรายได้ที่ไม่แน่นอนในงบประมาณประจำปี เป็นข้อบกพร่องอีกหลายประการหนึ่งที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า มีความจำเป็นที่ต้องแจ้งให้ประชาชนรับทราบเกี่ยวกับสงครามแบบผสมและนโยบายของศัตรูในด้านนี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในสงครามแบบผสม ไม่มีการโจมตีทางทหาร แต่ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อของพวกต่างชาติและเหล่าผู้ติดตามของพวกเหล่านั้นในประเทศ ได้โจมตีความเชื่อทางศาสนาและการเมืองของประชาชน ด้วยการกระซิบกระซาบเพื่อที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้เจตจำนงของประชาชาติอ่อนแอลงและดับไฟแห่งความหวังในหัวใจของบรรดาเยาวชนและทำให้พวกเขาหมดหวังจากอนาคต การงาน และความก้าวหน้า”
ท่านผู้นำสูงสูดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “เหล่าศัตรูในสงครามแบบผสมต่างต้องการที่จะทำให้เกิดความแตกแยก ด้วยการสร้างสองขั้วให้เกิดขึ้นในประเทศ การทำให้มือของประชาชนออกจากซอฟต์แวร์(ชุดคำสั่ง)ที่แท้จริงของอำนาจของประชาชาติ ซึ่งก็คือความศรัทธา ศาสนา และค่านิยมของประชาชาติ เพื่อสร้างความไม่เสถียรภาพและความไม่มั่นคงในประเทศและหากว่าสามารถที่จะกระทำได้ ก็จะเกิดสงครามกลางเมือง แน่นอน พวกเหล่านั้นได้เอาศีรษะของพวกเขาโขกกับหินและจะถูกโขกกับหินอีกด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ไห้เห็นถึงการใช้อุปกรณ์ต่างๆและปัจจัยทุกประเภทในการก่อสงครามแบบผสม เช่น ปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม ความมั่นคง เศรษฐกิจ และการแทรกแซง เพื่อทำให้เกิดความสิ้นหวังและความเพิกเฉยจากขีดความสามารถของตนเอง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พวกเหล่านั้นกำลังพยายามที่จะทำให้ประชาชนมองในแง่ร้ายจากวิธีการของการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และแยกพวกเขาออกจากกัน ด้วยข้ออ้างที่ว่าประชาชนอย่าได้ฟังวิทยุ โทรทัศน์และการรายงานของบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ เพราะว่าไม่ตรงกับความเป็นจริงหรืออย่าได้ใส่ใจต่อคำพูดของผู้นำสูงสุด เพราะว่า เป็นการพูดซ้ำซาก”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของผู้ประสงค์ร้าย โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “แนวรบของศัตรูได้ประกาศด้วยเสียงดังมานานหลายปีว่า พวกเขาต้องการจะทำให้สาธารณรัฐอิสลามยอมจำนน และในทางตรงกันข้าม ผู้นำสูงสุดกล่าวว่า พวกคุณนั้นได้กระทำความผิดพลาด นี่ไม่ใช่คำพูดที่ซ้ำซาก แต่ทว่าคือ การยืนหยัดในคำพูดที่เป็นสัจธรรม ซึ่งเป็นไปตามพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวยกย่องต่อการเข้าร่วมอย่างต่อเนื่องของประชาชนในภาคสนาม ถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการตื่นตัวและการยืนหยัดของประชาชนในการเผชิญหน้ากับการก่อจลาจล โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “ประชาชนได้ตบหน้าทุกคนที่ยุยงปลุกปั่นหรือสนับสนุนเหล่าผู้ก่อการจลาจล และด้วยอานุภาพและพลังอำนาจของพระเจ้า ประชาชาติอิหร่านก็จะตบหน้าเหล่าศัตรูในอนาคตอีกด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าขอประกาศอย่างแน่วแน่ว่า ประชาชาติอิหร่านนั้นมีความเข้มแข็งและมีความก้าวหน้าและยังสามารถที่จะขจัดข้อบกพร่องและมีการสร้างการเปลี่ยนแปลงได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของรัฐอิสลามต่อแนวร่วมในการยืนหยัดต่อสู้และท่านผู้นำกล่าวปฏิเสธข้ออ้างเท็จที่เกี่ยวกับการเข้าร่วมของอิหร่านในสงครามยูเครน โดยท่านกล่าวว่า “เราขอกล่าวปฏิเสธจากการเข้าร่วมในสงครามยูเครนอย่างเด็ดขาดและชัดเจน และสิ่งดังกล่าวนี้ไม่มีความถูกต้องอย่างแน่นอน ขณะที่สงครามในยูเครนนั้นเริ่มต้นขึ้นโดยสหรัฐฯ เพื่อต้องการที่จะขยายอิทธิพลของนาโต้ให้ไปทางตะวันออก และขณะนี้ ในขณะที่ประชาชนยูเครนกำลังติดกับดักและต้องทนทุกข์กับปัญหาต่างๆซึ่งสหรัฐฯและโรงงานผลิตอาวุธได้รับผลประโยชน์อย่างสูงสุดจากสงครามนี้ และด้วยสาเหตุนี้ พวกเหล่านี้ จึงสร้างอุปสรรคขัดขวางเพื่อไม่ให้สงครามยุติลง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี หลังจากที่ได้อธิบายถึงข้อบกพร่องหลักของเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะต้องมีการขจัดด้วยการวางแบบแผนในการเปลี่ยนแปลง โดยท่านผู้นำได้ชี้ให้เห็นถึงหลายกรณีที่เกี่ยวกับจุดด้อยที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน โดยท่านกล่าวว่า “ความฟุ่มเฟือยจากการบริโภคน้ำ ไฟฟ้า ก๊าซ นูน(ขนมปังชนิดหนึ่ง) และน้ำมัน การใช้จ่ายอย่างหรูหราแบบสุดๆ ซึ่งบางครั้งกลายเป็นการแข่งขันของความหรูหรา และยังทำให้ค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง ค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน การไม่มีอคติในการผลิตสินค้าภายในประเทศ ซึ่งบางครั้งมีคุณภาพที่ดีกว่าการผลิตจากต่างประเทศ แต่การไม่บริโภคมันทำให้เกิดการว่างงานของแรงงานชาวอิหร่าน และการไม่ยอมและการไม่ให้อภัยในความคิดเห็นที่แตกต่างเพียงเล็กน้อย รวมถึงประเด็นทางการเมือง และการเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นสองขั้วในสังคม ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นข้อบกพร่องและรูปแบบที่จะต้องมีการปรับปรุงและขจัดออกไปจากพฤติกรรมของสาธารณชน”
คำแนะนำที่สำคัญประการหนึ่ง โดยท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้เชิญชวนให้บุคคลทั้งหมดที่มีความสามารถในการพูดกับประชาชนและเป็นเจ้าของสื่อ ไม่ว่าจะเป็นทางสื่อสังคมออนไลน์ สื่อสิ่งพิมพ์ หรือองค์การสื่อสารมวลชน ให้สร้างความหวังให้เกิดขึ้น โดยท่านกล่าวว่า “ศัตรูต่างพยายามที่จะทำให้เยาวชนทั้งหลายหมดหวัง และในทางตรงกันข้าม เราจะต้องสร้างความหวังให้เกิดขึ้นในประเด็นต่างๆของประเทศ ซึ่งทุกคนจะต้องปฏิบัติหน้าที่นี้กันอย่างจริงจัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ไม่ถือว่า การสร้างความหวัง หมายถึง การปกปิดจุดด้อยต่างๆและการหลอกตัวเอง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “จะต้องมีการอธิบายถึงจุดด้อยต่างๆ และก็จะต้องแสดงถึงการสร้างความหวังในอนาคตและการมีทิศทางที่สดใสควบคู่กันไปด้วยและจะต้องมีการเปิดเผยแก่สายตาของสาธารณชน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความสับสนของพวกสหรัฐฯในภูมิภาคนี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “แนวทางและนโยบายของรัฐอิสลามในภูมิภาคนั้นชัดเจนและเรารู้ว่า เรากำลังกระทำอะไรอยู่ แต่พวกสหรัฐฯจะสับสนและทำอะไรไม่ถูก เพราะหากว่าพวกเหล่านี้ยังอยู่ในภูมิภาคนี้ เช่นเดียวกับในอัฟกานิสถาน ที่ประชาชาติทั้งหลายต่างมีความเกลียดชังที่เพิ่มมากขึ้นและจำเป็นที่จะต้องไปออกจากภูมิภาค และหากพวกเขาออกไป พวกเขาจะสูญเสียความหวัง ซึ่งความสับสนนี้ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความอ่อนแออย่างชัดเจนของพวกเหล่านี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าสำหรับการพบปะกันอีกครั้งต่อหน้าประชาชนผู้เคร่งครัดในเมืองมัชฮัดและบรรดาซาอิร(ผู้แสวงบุญ) ยังฮะรอมของอิมามอะลี บินมูซา อัรริฎอ (อ.) และขอขอบคุณและยกย่องต่อจากบรรดานักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย แพทย์ พยาบาล อาสาสมัครสาธารณะ ศูนย์กลางการผลิตและการฉีดวัคซีนและเวชภัณฑ์ ตลอดจนบรรดาผู้ที่เข้าร่วมในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไวรัสร้ายโคโรน่า
ในช่วงเริ่มต้นของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ฮุจญตุลอิสลามวัลมุสลิมีน มัรวีย์ ผู้ดูแลฮะรอมอันศักดิ์สิทธิ์ของอิมามริฎอ (อ.) ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆของฮะรอมนี้ โดยถือว่า จำเป็นที่จะต้องรักษาพันธสัญญาที่ให้ไว้กับอิมามริฎอ(อ.) ด้วยการปฏิบัติตามวิถีชีวิตแบบอิมามริฎอ(อ.) และการนำเอาคำสอนของท่านอิมามไปใช้ในการดำเนินชีวิตทางปัจเจกบุคคลและสังคม และเขากล่าวว่า การส่งเสริมให้มีการซิยาเราะฮ์ด้วยการมีมะอ์รีฟัต(ความเข้าใจอย่างถ่องแท้) การให้ความสนใจต่อบรรดาผู้ที่ขัดสน เช่น ประชาชนที่อาศัยในเขตชานเมืองมัชฮัด การขยายโครงการทางสังคมของฮะรอมอันศักดิ์สิทธิ์ การอำนวยความสะดวกในการซิยาเราะฮ์ การให้เกียรติต่อผู้แสวงบุญ ความเชี่ยวชาญและความเป็นเยาวชนของเจ้าหน้าที่ เป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ต่างๆและการดำเนินการของฮะรอมอิมามริฎอ(อ.)
แหล่งข่าว
https://english.khamenei.ir/news/9597/US-wanted-to-isolate-Iran-but-our-relations-with-Asia-became