บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ คณะทุตานูทูต และบรรดาแขกผู้เข้าร่วมการแข่งขันอัลกุรอานนานาชาติ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม
“อิหร่านจะให้การช่วยเหลือต่อปาเลสไตน์ ในทุกวิถีทางที่สามารถจะกระทำได้”
Burapanews สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ คณะทุตานูทูตของประเทศอิสลาม และบรรดาแขกผู้เข้าร่วมในการแข่งขันอัลกุรอานนานาชาติ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เนื่องในวโรกาสคล้ายวันอีดมับอัษอันจำเริญ โดยท่านผู้นำ ถือว่า การใช้ประโยชน์จากขุมทรัพย์อันล้ำค่าที่ยิ่งใหญ่และไม่มีวันหมดสิ้นของการบิอ์ษัต(การแต่งตั้งศาสนทูต) ของศาสดาองค์สุดท้าย (ศ็อลฯ) เป็นทางออกของปัญหาทั้งหมดและจะนำประชาติอิสลามไปสู่แนวทางแห่งความผาสุกทั้งในโลกนี้และปรโลก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หากว่า ประเทศอิสลามได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านศาสดาแล้วไซร้ แน่นอนว่า รัฐเถื่อนระบอบไซออนิสต์ที่ชั่วร้ายก็จะไม่สามารถก่ออาชญากรรมและสร้างความกดขี่ให้กับชาวปาเลสไตน์ ท่ามกลางสายตาของประชาชาติอิสลามได้ ซึ่งแน่นอนว่า ประชาชาติอิหร่านและรัฐอิสลาม จะปฏิบัติตามภาระหน้าที่ของตนในประเด็นนี้อย่างดีสุด เหมือนดั่งเช่นในอดีตที่ผ่านมา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวแสดงความยินดีต่อประชาชาติอิหร่านและชาวมุสลิมทั่วโลก ตลอดจนบรรดาผู้ที่แสวงหาสัจธรรมทั่วทั้งโลกทุกคน เนื่องในวันอีดอันจำเริญนี้ โดยท่านถือว่า การบิอ์ษัต เป็นของขวัญอันล้ำค่าและเป็นความโปรดปรานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อมวลมนุษยชาติ และท่านได้กล่าวอธิบายถึงขุมทรัพย์ของการบิอ์ษัตของท่านศาสดา ผู้ทรงเกียรติ โดยท่านกล่าวว่า “เตาฮีด(ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า) และความเป็นอิสรภาพจากการเป็นบ่าวที่นอกเหนือจากพระองค์ ถือว่า เป็นขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ที่สุดของการบิอ์ษัต เพราะว่า ทุกสงคราม อาชญากรรม และความชั่วร้าย ในตลอดช่วงประวัติศาสตร์ ล้วนเกิดขึ้นมาจากการเป็นบ่าวในสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้าทั้งสิ้น”
“การขัดเกลาจิตวิญญาณ” เป็นยารักษาโรคของมนุษย์และสังคมมนุษย์ให้รอดพ้นจากความชั่วร้ายในทุกประเภท “การอบรมสั่งสอน” หมายถึง การกำหนดการดำเนินชีวิตทางปัจเจกบุคคลและทางสังคมให้อยู่ภายใต้การชี้นำและคำสั่งสอนจากพระผู้เป็นเจ้า และ “วิทยปัญญา” หมายถึง การบริหารการดำเนินชีวิตของมนุษย์ด้วยเหตุผลและปัญญา เหล่านี้ ล้วนคือ ขุมทรัพย์อันล้ำค่าของการบิอ์ษัตของศาสดาองค์สุดท้ายที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้อธิบายไว้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ยกหลักฐานจากโองการของอัลกุรอาน เพื่ออธิบายถึงขุมทรัพย์ของการบิอ์ษัตของท่านศาสดา และท่านผู้นำ ถือว่า การยืนหยัดในการต่อสู้ เป็นกุญแจที่สำคัญยิ่งในการบรรลุสู่เป้าหมายต่างๆ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การดำรงความยุติธรรม ก็เป็นหนึ่งในของขวัญอันพิเศษประการอื่นๆของพระเจ้าที่ทรงประทานให้แก่มนุษย์ด้วยความโปรดปรานของการบิอ์ษัตของท่านศาสดา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวอธิบายถึงโองการอันประเสริฐยิ่งที่ว่า “เขานั้นเป็นผู้ที่มีความแข็งกร้าวต่อเหล่าผู้ปฏิเสธและมีความการุณย์ต่อบรรดาผู้ศรัทธา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความเป็นผู้ที่มีความแข็งกร้าว หมายถึง ความมั่นคง และการที่เหล่าศัตรูไม่สามารถที่จะแทรกซึมได้จากการเผชิญหน้ากัน ซึ่งช่างน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ได้ให้ความสนใจในประเด็นนี้มากสักเท่าไหร่ แต่แน่นอนว่า การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสังคมอื่นๆโดยที่มีอำนาจในการเลือกสรรอย่างเป็นระบบระเบียบและการใช้สติปัญญา ขณะที่ในประเด็นของการแทรกซึมในเชิงปฏิบัตินั้น ทั้งในสังคมของมนุษย์กลับถูกควบคุมและบริหารจัดการโดยเหล่าพวกต่างชาติ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีความรัก ความบริสุทธิ์ใจ และความจริงใจในหมู่ผู้คนของสังคม เป็นของขวัญอันล้ำค่าอีกชิ้นหนึ่งจากการบิอ์ษัตของศาสดาองค์สุดท้าย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การหลีกเลี่ยงและการออกห่างจากเหล่าผู้ฉ้อฉลของโลก และการออกจากความมืดมนและโซ่ตรวนแห่งความโง่เขลา ความเป็นอคติ ความเฉื่อยชา และการนิ่งเฉย ล้วนเป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่าหลายแสนประการของอิสลามและการบิอ์ษัต”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การไม่รู้จักถึงขุมทรัพย์ของการบิอ์ษัต คือ การปฏิเสธและความภาคภูมิใจเพียงแค่ลมปาก ไม่ใช่เป็นการกระทำ นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของพฤติกรรมทางสังคมมนุษย์ ท่ามกลางความโปรดปรานอันมหาศาล โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การสร้างแตกแยก ความล้าหลังและปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งเชิงทฤษฎีและการปฏิบัติ อันเป็นผลมาจากการจัดการกับการบิอ์ษัตทั้งสิ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสร้างอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสังคมมนุษย์ในศตวรรษที่สามและที่สี่ของฮิจเราะฮ์ อันเป็นผลมาจากการนำเอาคำสอนของอัลกุรอานไปปฏิบัติ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หากว่าในปัจจุบันนี้ มีการปฏิบัติตามศักยภาพอันมากมายของการบิอ์ษัตและอัลกุรอาน ทั้งจุดด้อยต่างๆของโลกอิสลามก็จะถูกขจัดออกไป และความก้าวหน้าก็จะเกิดขึ้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ปัญหาของปาเลสไตน์ เป็นหนึ่งในจุดด้อยต่างๆและเป็นบาดแผลที่สำคัญของประชาชาติอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ประชาชาติและประเทศหนึ่งกำลังถูกกดขี่อย่างที่ไม่มีที่สิ้นสุดต่อสายตาของโลกอิสลาม และในทุกวัน ความป่าเถื่อน ความชั่วร้ายของระบอบรัฐเถื่อนที่ชั่วร้ายได้เกิดขึ้น และประเทศชาติอิสลามได้แต่เพียงมองอย่างเดียว ถึงแม้ว่าจะมีความมั่งคั่ง ศักยภาพ และขีดความสามารถทั้งหมดเหล่านี้ก็ตาม หรือแม้แต่บางประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครั้งล่าสุดนี้ พวกเหล่านั้นกำลังร่วมมือกับรัฐเถื่อนที่หิวกระหายเลือดนี้อยู่”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การทำให้ประเทศเหล่านี้เกิดความอ่อนแอ เป็นผลอีกประการหนึ่งของการนิ่งเฉยในการเผชิญหน้ากับอาชญากรรมและความร่วมมือกับรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “สถานการณ์ที่เข้ามาถึงจุดนี้ที่ว่า พวกอเมริกา ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศ ด้วยข้ออ้างเพื่อการแก้ไขปัญหาต่างๆของชาวมุสลิม โดยทำให้ตนเองนั้นมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในโลกอิสลาม ในขณะที่พวกเหล่านั้นเองก็หมดหนทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้และไร้ความสามารถในการบริหารจัดการประเทศของตนเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “นับจากวันแรก หากว่ารัฐบาลอิสลามได้ฟังคำพูดของผู้ที่ประสงค์ดี รวมทั้งบรรดานักการศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของเมืองนะญัฟ และมีการยืนหยัดในการต่อสู้กับระบอบรัฐเถื่อนนี้ แน่นอนว่า สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกในวันนี้ ก็จะมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง และประชาชาติอิสลามก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและมีความเข้มแข็งมากขึ้นในด้านต่างๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นถึงจุดยืนที่ชัดเจนและการเปิดเผยอย่างเป็นทางการของสาธารณรัฐอิสลามในการสนับสนุนต่อชาวปาเลสไตน์ที่ถูกกดขี่ โดยท่านกล่าวว่า “รัฐอิสลามจะไม่คำนึงถึงผู้ใดอีกเลย และในขณะที่ จะให้การสนับสนุนและปกป้องประชาชาติปาเลสไตน์อย่างเปิดเผย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะให้การช่วยเหลือพวกเขาในทุกวิถีทางที่สามารถกระทำได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า เหล่าศัตรูต่างมุ่งเน้นยังแกนหลักของความหวาดกลัวต่ออิหร่าน โดยท่านกล่าวว่า “ช่างน่าเสียใจอย่างยิ่งที่รัฐบาลเหล่านี้ ขณะที่มีหน้าที่ในการช่วยเหลือประชาชาติปาเลสไตน์ แต่พวกเหล่านั้นกลับไปเห็นด้วยกับเหล่าศัตรูของอิสลามจากการสร้างความหวาดกลัวต่ออิหร่าน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การย้อนกลับคืนสู่คำสอนของการบิอ์ษัต ความสามัคคี และความเห็นอกเห็นใจของประชาชาติอิสลาม และความร่วมมืออย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์แบบผิวเผิน จากรัฐบาลอิสลาม เป็นวิธีการในการแก้ไขปัญหาทั้งหมดของประชาชาติอิสลาม และในช่วงท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุด โดยท่านได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ล่าสุดในตุรกีและซีเรีย ซึ่งทำให้มีบรรดาเหยื่อและผู้ประสบภัยดังกล่าว เป็นจำนวนมาก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความสำคัญของประเด็นต่างๆทางการเมือง เช่น ปาเลสไตน์และการแทรกแซงของพวกอเมริกา จะต้องเป็นที่สนใจและให้ความสำคัญของประชาชาติในทุกสถานการณ์”
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ พณฯท่าน ราอีซี ประธานาธิบดี ได้กล่าวถึงปรัชญาของการบิอ์ษัต หมายถึง การสร้างมนุษยธรรมและสังคม ตามแบบฉบับจากอัลกุรอาน โดยท่านประธานาธิบดีกล่าวว่า “หลังจากการปฏิวัติอิสลาม เหมือนดังเช่นในช่วงแรกๆของอิสลาม เหล่าศัตรูได้เรียงแถวในการก่อสงครามทางการทหาร การเมือง เศรษฐกิจและการโฆษณาชวนเชื่อ จากการเผชิญหน้ากับประชาชาติของเรา แต่ประชาชนชาวอิหร่านนั้นได้สำแดงตัวอย่าง ด้วยการยืนหยัดในการต่อสู้กับทุกแผนการสมรู้ร่วมคิด จนทำให้แผนการร้ายของเหล่ามหาอำนาจประสบกับความล้มเหลว”
พณฯท่านราอีซี ยังได้กล่าวขอบคุณต่อการสร้างวีรกรรมในการเดินขบวนของประชาชนในวันที่ 22 บะห์มัน ที่ผ่านมา โดยท่านประธานาธิบดี ถือว่า การกระทำดังกล่าว เป็นความรับผิดชอบแบบทวีคูณสำหรับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆของประเทศ โดยท่านประธานาธิบดีเน้นย้ำว่า “ด้วยการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน ไม่มีปัญหาใดๆที่จะไม่ได้รับการแก้ไข และเราขอกล่าวกับท่านผู้นำและประชาชนที่เคารพรักของประเทศของเราว่า อย่างที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราจะควบคุมสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบันนี้ให้ได้”
ท่านประธานาธิบดี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการคำนวณที่ผิดพลาดของเหล่าศัตรูที่เกี่ยวกับประชาชาติอิหร่าน รวมถึงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา โดยท่านประธานาธิบดีกล่าวเสริมว่า “ พวกตะวันตกต่างอ้างว่าจะปฏิบัติตามข้อตกลง จนกระทั่งถึงเมื่อวานนี้ แต่เมื่อพวกเหล่านี้ จำเป็นที่จะต้องยอมรับข้อเรียกร้องอันชอบธรรมของประชาชนชาวอิหร่าน พวกเหล่านี้กลับทิ้งโต๊ะเจรจาโดยเริ่มการก่อความวุ่นวายและกลายเป็นความโกลาหล แล้วบอกว่า จะเคลื่อนตัวไปตามท้องถนนอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่า ด้วยการเข้าร่วมอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ในเวทีต่างๆระหว่างประเทศ จะเป็นการเติมเต็มผลประโยชน์ให้กับประชาชาติอีกด้วย”