บทวิเคราะห์ อาชญากรรมระบอบไซออนิสต์จากการโจมตีโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ต่างๆในเขตฉนวนกาซา
โดย นาซิร คันอานี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน
ระเบิดขนาด 1 ตันที่ตกลงใส่โรงพยาบาลอัล-มุอัมดานีทำให้โครงสร้างของกฎบัตรสหประชาชาติต้องสั่นสะเทือนและยังถือเป็นการถอดหน้ากากออกจากใบหน้าของผู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชน
การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในฉนวนกาซาที่กำลังดำเนินต่อไปอย่างน่าเสียใจและองค์กรระหว่างประเทศก็ไม่มีอำนาจที่จำเป็นในการยุติความโหดร้ายนี้
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติซึ่งถือเป็นหนึ่งในเสาหลักและฝ่ายบริหารขององค์กรนี้และเป็นผู้รับผิดชอบในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศต้องถูกยับยั้งในทางปฏิบัติแล้วโดยการวีโต้ยับยั้งของสหรัฐอเมริกาและไม่สามารถป้องกันภัยพิบัติของมนุษย์ที่ยังคงดำเนินต่อไปได้!
การประเมินผลงานของคณะมนตรีความมั่นคงแสดงให้เห็นชัดเจนว่าสมาชิกบางคนซึ่งนำโดยอเมริกาไม่มีความตั้งใจที่จะหยุดสงครามและด้วยความเฉยเมยพวกเขาก็กำลังเติมเชื้อเพลิงให้กับความทุกข์ทรมานและการเสียชีวิตของพลเรือนมากยิ่งขึ้น
ไม่มีการพูดถึงการปฏิบัติการรักษาเพื่อสันติภาพเส้นทางเพื่อมนุษยธรรมและเขตพื้นที่ห้ามบินอีกต่อไป
ความรับผิดชอบในการคุ้มครองและการแทรกแซงทางด้านมนุษยธรรมซึ่งในเวลาหนึ่งคณะมนตรีความมั่นคงกำหนดไว้เพื่อตอบสนองต่ออาชญากรรมระหว่างประเทศจำนวนน้อยกว่ามากกลับถูกลืมไปเสียแล้ว
รัฐบาลชาติตะวันตกซึ่งใช้ขีดความสามารถทั้งหมดของตนในบางประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาเล็กๆน้อยๆและไม่มีนัยยะสำคัญปัจจุบันนี้ตกอยู่ในความเงียบงันเมื่อเผชิญหน้ากับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบกำหนดเป้าหมายของผู้บริสุทธิ์หลายพันคนในฉนวนกาซา
การโจมตีโรงพยาบาลชาฟาทางตอนเหนือของฉนวนกาซาและการที่ทหารของกองทัพผู้รุกรานของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์เข้ามาในโรงพยาบาลแห่งนี้ถือเป็นอาชญากรรมสงครามครั้งล่าสุดที่กระทำโดยระบอบการปกครองดังกล่าวภายใต้ร่มเงาของความเงียบงันของสหรัฐฯและประเทศในยุโรปที่อ้างสิทธิมนุษยชน
ในสังคมระหว่างประเทศร่วมสมัยกฎพื้นฐานของหลักมนุษยธรรมถือเป็นหลักการที่ขัดขืนไม่ได้และหลักการบางประการเช่นหลักการแยกทหารออกจากพลเรือนได้มาถึงระดับการบังคับบัญชาแล้วจริงๆแล้วเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยเหลือคือผู้ที่ให้บริการและผู้รับใช้ของมนุษยชาติซึ่งพวกเขาได้รับความคุ้มครองทางด้านความขัดแย้งจากการสนับสนุนของกฎหมายระหว่างประเทศมาโดยตลอดเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่กำลังปฏิบัติงานเพื่อรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และปกป้องสิทธิทางด้านมนุษยธรรมและเป็นที่ชัดเจนว่าการโจมตีโดยตรงต่อพวกเขาจึงถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่สุดของอาชญากรรมสงครามซึ่งเป็นที่ยอมรับตามบทบัญญัติของกฎหมายอาญาระหว่างประเทศและมาตรา4 ของ อนุสัญญา กรุงเจนีวา
คำกล่าวอ้างที่มุสาและการจัดฉากที่เป็นเท็จของการเคลื่อนไหวของขบวนการต่อต้านในโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์เป็นเพียงการปกปิด ซึ่งเป็นข้อแก้ตัวที่จำเป็นสำหรับการก่ออาชญากรรมของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในฉนวนกาซาต่อไปแม้ว่าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะไม่เพียงแต่รอดพ้นจากการละเมิดในระหว่างปฏิบัติการบรรเทาทุกข์เท่านั้นแต่การจับกุมตามอำเภอใจและการขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าถึงผู้ป่วยและกระบวนการรักษาก็ถือเป็นอาชญากรรมสงครามด้วยเช่นกันและสามารถจะถูกดำเนินคดีในศาลระหว่างประเทศได้อีกด้วย
น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ในศตวรรษที่ 21 เมื่อเจ้าหน้าที่ของไซออนิสต์เปิดเผยในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ โดยที่ไม่มีการพูดถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการบังคับย้ายถิ่นฐานของผู้คนที่อยู่อาศัยในฉนวนกาซาซึ่งก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบจากเหล่าผู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด
กฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งควรจะปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กำลังถูกเป็นเหยื่อตามนโยบายทวิภาคีของอเมริกาและยุโรปและหลักการที่ชัดเจนที่สุดของความขัดแย้งด้วยอาวุธเช่นการไม่โจมตีโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ก็จะไม่เป็นการกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงและความอ่อนไหวของรัฐบาลที่กล่าวมาข้างต้น!
องค์การอนามัยโลกเรียกสถานการณ์ของโรงพยาบาลชาฟาทางตอนเหนือของฉนวนกาซาว่าเป็นสิ่งที่น่ากังวลและน่ากลัวอย่างยิ่ง
ผู้อำนวยการแผนกฉนวนกาซาของสภากาชาดระหว่างประเทศพูดถึงการเกิดภัยพิบัติร้ายแรงในฉนวนกาซาโดยเขาเน้นย้ำว่าพลเรือนต่างบอกกันว่าให้พวกเขาไปยังสถานที่ซึ่งปลอดภัย
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชาฟาตั้งข้อสังเกตว่าสามารถสัมผัสกลิ่นแห่งความตายได้ในบรรยากาศของโรงพยาบาลแห่งนี้และเหล่าผู้ป่วยต่างร้องขอความช่วยเหลือเพื่อรักษาชีวิตของพวกเขา! ด้วยคำอธิบายเหล่านี้จึงไม่ชัดเจนว่าเสียงเรียกร้องแห่งมโนธรรมของรัฐบาลตะวันตกจะโจมตีพวกเขาอีกเมื่อใด!?
ในขณะเดียวกันระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาและกลุ่มพันธมิตรยุโรปได้ขัดขวางความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจากประเทศที่ให้การช่วยเหลือและได้สร้างสถานการณ์ที่น่าเสียใจในฉนวนกาซาด้วยเหตุนี้เองหลายประเทศรวมทั้งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านจึงไม่สามารถที่จะส่งความช่วยเหลือไปยังฉนวนกาซาได้
สถานการณ์นี้จึงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าระบอบไซออนิสต์ที่โหดร้ายได้ละเมิดไม่เพียงแต่ดินแดนปาเลสไตน์เท่านั้นแต่ยังรวมถึงหลักการของมนุษย์และกฎหมายระหว่างประเทศทั้งหมดอีกด้วย!
Burapanews – ศูนย์ข่าวต่างประเทศ รายงาน
ขอขอบคุณ สถานเอกอัครราชทูตอิหร่านประจำประเทศไทย