ผู้นำสูงสดอิหร่าน ชี้ หากรัฐเถื่อนไซออนิสต์ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ จะกลายเป็นอัมพาตไปในทันที
Burapanews – สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ว่า นักเรียนและนักศึกษาหลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำกล่าวถึงต้นตอของความเป็นปฏิปักษ์อันยาวนานของสหรัฐฯกับประชาชาติอิหร่าน ถือว่า ภัยพิบัติของรัฐเถื่อนไซออนิสต์และพวกสหรัฐฯในฉนวนกาซา ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ และท่านผู้นำยังชี้ให้เห็นว่า การโจมตีที่น่าอับอายเหล่านี้ ทำให้ประชาชนชาวกาซามีความอดทนและการยืนหยัดในการต่อสู้ ซึ่งได้ทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์และเหล่าชาติมหาอำนาจที่ให้การสนับสนุนพวกเหล่านั้น โดยท่านกล่าวว่า “หากรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ไม่ได้รับความช่วยเหลือที่ครอบคลุมจากสหรัฐฯ รัฐเถื่อนนี้ก็จะกลายเป็นอัมพาตภายในไม่กี่วัน โลกอิสลาม ควรที่จะระดมกำลังต่อต้านรัฐเถื่อนนี้ด้วยการตัดความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และปฏิบัติตามหน้าที่อันสำคัญยิ่งของตนในการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายสัจธรรมและความเท็จ โดยยืนกรานที่จะยุติการทิ้งระเบิดและการก่ออาชญากรรมในฉนวนกาซาโดยทันที”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นว่า รัฐเถื่อนไซออนิสต์ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือของสหรัฐฯ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “หากไม่ใช่เพราะการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และการสนับสนุนทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์แล้วไซร้ รัฐบาลเถื่อนไซออนิสต์ที่ทุจริตคอร์รัปชัน หลอกลวง ก็คงจะถูกทำลายลงในสัปดาห์แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง การสร้างภัยพิบัติในปัจจุบันนี้โดยรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในฉนวนกาซาจึงได้รับความช่วยเหลือ และในความเป็นจริง นั่นคือ มือของพวกสหรัฐนั่นเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสังหารหมู่เด็ก 4,000 คนในช่วงสามสัปดาห์ เป็นอาชญากรรมที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ โดยท่านเน้นย้ำถึงความเฉลียวฉลาดของประชาชาติอิสลามเกี่ยวกับเหตุการณ์ในฉนวนกาซา ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสนามศึกระหว่างสัจธรรมและความเท็จ และความศรัทธากับความเย่อหยิ่ง โดยท่านกล่าวว่า “อำนาจแห่งความเย่อหยิ่งด้วยการทิ้งระเบิด ความกดดันทางทหาร การสร้างภัยพิบัติ และการก่ออาชญากรรม แต่ทว่า พลังแห่งความศรัทธาจะเอาชนะเหนือสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังอธิบายถึงความสำเร็จในความอดทนและการยืนหยัดของประชาชนชาวกาซา โดยท่านกล่าวว่า “หัวใจของเรานั้นเต็มไปด้วยเลือด เนื่องจากความทุกข์ทรมานและความเศร้าโศกของประชาชนชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาชนในฉนวนกาซา แต่เมื่อเหลียวมองลึกลงไปในสนามศึก ก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้ชนะในสนามศึกนี้ คือ ประชาชนชาวกาซาและชาวปาเลสไตน์ที่สามารถปฏิบัติภารกิจที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การถอดหน้ากากเท็จทางด้านสิทธิมนุษยชนออกจากใบหน้าของพวกชาติตะวันตก และความน่าอับอายของพวกเขา อันเป็นผลจากความอดทนและการยืนหยัดในการต่อสู้ของประชาชนชาวกาซา โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ประชาชนชาวกาซา สามารถขับเคลื่อนมโนธรรมของมนุษย์ได้ด้วยความอดทนของพวกเขา พวกท่านเห็นหรือไหมว่า ทุกวันนี้ แม้แต่ตามท้องถนนในอเมริกาและประเทศชาติตะวันตก ผู้คนจำนวนมากก็ตะโกนต่อต้านอิสราเอล และในหลายกรณีก็มีการต่อต้านอเมริกา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คำพูดของแหล่งข่าวตะวันตกบางแห่ง เช่น การรวมตัวสนับสนุนปาเลสไตน์ในอังกฤษเป็นฝีมือของอิหร่าน เป็นผลมาจากความน่าอับอายของพวกเขาที่ไม่อาจเยียวยาได้ และท่านผู้นำกล่าวเปรียบเปรยในการวิเคราะห์ที่ไร้สาระเช่นนี้ว่า “แล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่การรวมตัวเหล่านี้ จะต้องเป็นการกระทำของอาสาสมัครในลอนดอนและอาสาสมัครในปารีสกระนั้นหรือ!”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความน่าอับอายของจอมโกหกโลก ซึ่งเรียกบรรดานักต่อสู้ชาวปาเลสไตน์ว่า เป็นผู้ก่อการร้าย เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความไร้ยางอายอย่างแท้จริงของเหล่านักการเมืองและสื่อตะวันตก โดยท่านได้ตั้งคำถามว่า ผู้ที่ปกป้องบ้านเรือนและประเทศของเขา เป็นผู้ก่อการร้ายใช่หรือไม่? ชาวฝรั่งเศสที่ต่อสู้กับชาวเยอรมันในปารีสในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นผู้ก่อการร้ายใช่หรือไม่? แล้วทำไมพวกเขาจึงกลายเป็นนักต่อสู้และสร้างความภาคภูมิใจให้กับฝรั่งเศส แต่บรรดาเยาวชนของการญิฮาดและฮามาส กลับเป็นผู้ก่อการร้าย?
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า บทเรียนอันยิ่งใหญ่ของพายุอัลอักซอ คือ ชัยชนะของกลุ่มเล็กๆ ที่มีเสบียงและสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงเล็กน้อย แต่ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “กลุ่มที่มีความศรัทธานี้ สามารถทำลายผลจากความพยายามในการก่ออาชญากรรมเป็นเวลาหลายปีของศัตรูภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แล้วปล่อยให้มันลอยไปในอากาศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ชาวปาเลสไตน์ได้สร้างความน่าอับอายให้เกิดขึ้นกับรัฐเถื่อนไซออนิสต์และเหล่ารัฐบาลของชาติมหาอำนาจที่ให้การสนับสนุน ด้วยการกระทำและความกล้าหาญของพวกเขา และในวันนี้ด้วยความอดทนของพวกเขา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความคาดหวังสองเท่าของโลกอิสลามที่มีต่ออาชญากรรมของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยท่านกล่าวว่า “หากรัฐบาลอิสลามไม่ให้การช่วยเหลือปาเลสไตน์ในวันนี้ ก็เท่ากับว่าพวกเขากำลังเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับศัตรูของปาเลสไตน์ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นศัตรูของอิสลามและมนุษยชาติ และอันตรายแบบเดียวกันนี้ ก็จะกลายเป็นภัยคุกคามพวกเขาในวันพรุ่งนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการระดมพลของโลกอิสลาม เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอิสลามยืนกรานในการหยุดการก่ออาชญากรรมและการทิ้งระเบิดในฉนวนกาซาโดยทันที และเรียกร้องให้รัฐบาลเหล่านี้ปิดกั้นการส่งออกน้ำมันและอาหารไปยังรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และจะต้องไม่ร่วมมือทางเศรษฐกิจกับรัฐเถื่อนนี้ และในประชาคมโลกทั้งหมด จะต้องประณามการก่ออาชญากรรมและการสร้างภัยพิบัติของรัฐเถื่อนนี้อย่างชัดเจน โดยไม่พูดจาแบบติดอ่างและพูดจาแบบสองแง่สองง่าม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นย้ำให้เห็นอีกครั้งว่า ความเสียหายที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ที่เกิดขึ้นกับรัฐเถื่อนไซออนิสต์และองค์ประกอบของรัฐเถื่อนก็ออกมายอมรับในความไร้สามารถในการซ่อมแซมนี้ โดยท่านกล่าวว่า “รัฐเถื่อนกำลังรู้สึกตกตลึง งงงวย และสับสน จนพูดจาโกหกประชาชนของตน เช่น การแสดงความกังวลใจเกี่ยวกับเหล่าเชลยของตน ซึ่งนี่คือเรื่องโกหก เพราะว่าเหล่าเชลยของตนเองนั้น อาจถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดก็เป็นไปได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเรียกร้องให้โลกอิสลามให้ความสนใจกับความจริงที่ว่า ผู้ที่ยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับอิสลามและประชาชาติปาเลสไตน์ที่ถูกกดขี่นั้น ไม่เพียงแต่เพียงรัฐเถื่อนไซออนิสต์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอเมริกา ฝรั่งเศส และอังกฤษด้วย และชาวมุสลิมทั้งหมดจะต้องไม่ลืมนับข้อเท็จจริงนี้ไว้ในสมการ ข้อตกลง และการวิเคราะห์ของพวกเขา
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังยกหลักฐานอ้างอิงจากอัลกุรอาน ซึ่งระบุว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นความจริง และบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในพันธสัญญานั้น อย่าได้ทำให้พวกท่านสั่นคลอนและทำให้พวกท่านอ่อนแอลงด้วยทัศนคติเชิงลบของพวกเขา โดยท่านเน้นย้ำว่า “ด้วยพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ชัยชนะอีกไม่นานนัก จะเป็นของปาเลสไตน์และประชาชนชาวปาเลสไตน์”
อีกส่วนหนึ่งของคำปราศรัยของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำชี้ให้เห็นถึง 3 เหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 อาบาน ( ปฏิทินอิหร่าน ซึ่งตรงกับวันที่ 4 พฤศจิกายน ) โดยท่านกล่าวว่า “2 เหตุการณ์ที่พวกสหรัฐฯสร้างความเสียหายให้กับประชาชาติอิหร่าน กล่าวคือ เมื่อวันที่ 13 อาบาน 1343 หลังจากที่ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ออกมาคัดค้านอย่างรุนแรงต่อมติกฏหมายสิทธิพิเศษทางตุลาการ (Capitulation) หมายถึง การยกเว้นความคุ้มกันของชาวสหรัฐฯในอิหร่าน จากการถูกดำเนินคดีทางศาลเกี่ยวกับอาชญากรรมใดๆก็ตาม จนเป็นเหตุให้มีการเนรเทศท่านอิมาม และในวันที่ 13 อาบาน 1357 (ปฏิทินอิหร่าน) การสังหารหมู่นักเรียนและนักศึกษา ที่หน้ามหาวิทยาลัยเตหะราน โดยระบอบการปกครองหุ่นเชิดของสหรัฐฯในอิหร่าน
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แต่ในเหตุการณ์ที่สาม กล่าวคือ บรรดานักศึกษาเข้ายึดสถานทูตอเมริกา โดยที่ประชาชาติอิหร่านสร้างความเสียหายให้กับอเมริกา ด้วยการเปิดโปงความลับและเอกสารลับที่ซ่อนอยู่ในสถานทูต ถือเป็นการทำลายชื่อเสียงของอเมริกาไปทั่วทั้งโลก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นย้ำให้เห็นว่า เยาวชนคนหนุ่มสาว จะต้องไม่เพียงพอด้วยอารมณ์ความรู้สึก และความพยายามที่จะทำความเข้าใจและการวิเคราะห์ประเด็นต่างๆ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “จะต้องมีการวิเคราะห์และประเมินผลเกี่ยวกับหลักการปฏิวัติอิสลามอย่างถูกต้อง การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ และประเด็นต่างๆ ของทศวรรษที่ 60 ช่วงความแตกต่างในทศวรรษที่ 70 และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 80 และ 90”
หลังจากนั้น ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวอธิบายถึงต้นตอของความเป็นปฏิปักษ์ของสหรัฐกับประชาชาติอิหร่าน และการวิเคราะห์ประเด็นสำคัญของสาเหตุดังกล่าว
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “พวกอเมริกาและผู้ที่พูดจาอย่างไร้เดียงสาหรือมีเจตนาอื่นๆ พูดซ้ำๆว่า ความเป็นปฏิปักษ์และการสมรู้ร่วมคิดของอเมริกา เริ่มต้นขึ้นหลังจากการเข้ายึดสถานทูตของประเทศนี้ แต่คำกล่าวอ้างนี้เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง เพราะข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า ความเป็นปฏิปักษ์ของพวกอเมริกากับประชาชาติอิหร่านเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 26 ปีก่อนที่จะมีการยึดสถานทูต กล่าวคือ จากเหตุการณ์รัฐประหารอันฉ้อฉล เมื่อวันที่ 28 มุรดาด 1322 (ปฏิทินอิหร่าน) ต่อรัฐบาลแห่งชาติของด็อกเตอร์มุศัดดิก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้อ้างถึงเอกสารลับของสถานทูตอเมริกา โดยท่านกล่าวว่า “เอกสารลับเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า สถานทูตอเมริกา เป็นศูนย์กลางของแผนการสมรู้ร่วมคิดและการจารกรรม การวางแผนการก่อรัฐประหารและสงครามกลางเมือง และการจัดการสื่อในการต่อต้านการปฏิวัติอิสลาม ตั้งแต่ช่วงวันแรกๆของการปฏิวัติอิสลาม หมายถึง สิบเดือนก่อนการยึดสถานทูต ด้วยเหตุนี้เอง ความเป็นปฏิปักษ์ของอเมริกากับประชาชาติอิหร่าน จึงมีเหตุผลอีกประการหนึ่ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงหลักฐานต้นตอของความเป็นปฏิปักษ์เหล่านี้คือ การแทรกซึมของพวกอังกฤษในยุคการปกครองของราชวงศ์กอญัร โดยท่านกล่าวว่า “พวกอังกฤษนั้นต้องการครอบงำศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและทรัพยากรของอิหร่าน ด้วยแบบจำลองอาณานิคมของอินเดีย หลังจากนั้น จึงเข้ายึดอำนาจทางการเมือง และอธิปไตยของประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ข้อตกลงการปลูกยาสูบ การซื้อและการขายแบบผูกขาด และ ข้อตกลงความไว้วางใจต่อรัฐบาล เป็นสองตัวอย่างของความพยายามของพวกอังกฤษในการครอบงำทรัพยากรทางเศรษฐกิจของอิหร่าน โดยท่านกล่าวว่า “ความเคลื่อนไหวทั้งสองนี้ จากความเฉลียฉลาดของบรรดานักการศาสนา และการสนับสนุนจากประชาชน ก็ไม่ประสบความสำเร็จ และพวกอังกฤษจึงเข้าควบคุมรัฐบาลโดยนำพลทหารนายหนึ่งที่มีความโหดร้าย มีนิสัยหยาบคาย ไร้การศึกษาและไร้ศรัทธา ที่มีชื่อว่า เรซาข่าน มาเข้าควบคุมอิหร่าน และเรซาข่านก็บรรลุเป้าหมายด้วยการปราบปรามนักการศาสนา และสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชาติ ซึ่งบนเส้นทางนี้ ยังมีเหล่านักคิดแบบตะวันตกนิยมหรือเกี่ยวข้องกับตะวันตก มีส่วนร่วมในอาชญากรรมของเขาด้วยการทาสีน้ำมันให้รัฐบาลชั่วร้ายของเขาอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงการกระทำของพวกอังกฤษในการเข้ามาแทนที่ของบุตรชายของเรซา ข่านในสงครามโลกครั้งที่สอง และหลังจากนั้น อำนาจของอังกฤษก็เสื่อมลงในช่วงกลางทศวรรษที่ 20 และอเมริกาก็เข้ามาแทนที่ประเทศนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในช่วงแรก พวกอเมริกา แสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนโดยหลีกเลี่ยงการอ้างสิทธิ์ในอาณานิคม แต่เมื่อเห็นรัฐบาลมุศัดดิก พยายามทำให้อิหร่านไม่ต้องพึ่งพา ก็ละทิ้งหน้ากากแห่งความอ่อนโยนและด้วยการรัฐประหารเมื่อวันที่ 28 มุรดาด พวกเขาก็ยึดชะตากรรมของประเทศไว้ในกำมือของพวกเขาได้จริงและทำให้อิหร่านต้องพึ่งพาพวกเขาโดยสิ้นเชิง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบอันเลวร้ายของการครอบงำของอเมริกาในอิหร่าน รวมถึงการเปิดเท้าของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ให้เข้าสู่ประเทศ การก่อตั้งหน่วยซาวักที่น่าสะพรึงกลัว การส่งที่ปรึกษาทางทหารหลายหมื่นคน โดยชาวอิหร่านเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพื่อครอบงำกิจการทางทหารทั้งหมด การแพร่กระจายการคอร์รัปชัน มีการวางแบบแผนเพื่อทำให้คนรุ่นใหม่ขวัญเสีย ความล้าหลังทางวิทยาศาสตร์ของอิหร่าน และการเลือกปฏิบัติทางชนชั้นที่เลวร้าย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “แม้ในวันที่จุดสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม พวกอเมริกาก็ส่งนายพลไฮเซอร์ โดยมีความคิดที่จะก่อรัฐประหารและสังหารหมู่ประชาชาติ แต่ความมุ่งมั่นของท่านอิมามโคมัยนีและการยืนหยัดของประชาชาติได้ขัดขวางแผนการสมรู้ร่วมคิดนี้ และนายพลชาวอเมริกาผู้นี้ ซึ่งไดรับความล้มเหลวในการสังหารหมู่ประชาชาติอิหร่าน ทำให้เขาจึงถูกส่งกลับไปยังสหรัฐฯ แต่ทว่าในวันนี้ พวกอเมริกา มีเป้าหมายเช่นนี้และการกระทำเดียวกันในฉนวนกาซาด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวสรุปในการปราศรัยของท่าน โดยท่านเน้นย้ำว่า “อเมริกาต้องพินาศ ไม่ใช่เป็นเพียงสโลแกนเท่านั้น แต่เป็นนโยบายที่เกิดขึ้นจากแผนการสมรู้ร่วมคิดและความเป็นปฏิปักษ์อันไม่มีที่สิ้นสุดของอเมริกากับประชาชาติอิหร่านในช่วง 7 ทศวรรษที่ผ่านมา”
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ ตัวแทนของบรรดานักเรียนและนักศึกษาทั้ง 3 คน ได้แก่ นางสาว มุบีนา ชิกัรลับ ตัวแทนสภานักเรียนแห่งชาติ และนาย อับบาด อิซซัต อะมีน นักศึกษาชาวปาเลสไตน์ที่กำลังศึกษาอยู่ในอิหร่าน และนายบุรฮาน ดะลีรีฟัร ตัวแทนองค์กรนักศึกษา กล่าวแสดงความคิดเห็นหลายประเด็นที่เกี่ยวกับปัญหาต่างๆของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ในฉนวนกาซา
ที่มา