เจ้าหน้าที่รัฐฯ ทูตประเทศอิสลาม และแขกสัปดาห์เอกภาพอิสลาม พบผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม
“การปรับความสัมพันธ์อย่างปกติกับรัฐเถื่อนไซออนิสต์ จะพบแต่ความล้มเหลว”
Burapanews – สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ว่า เจ้าหน้าที่รัฐฯ บรรดาทุตานุทูตประเทศอิสลาม และผู้เข้าร่วมสัมมนาสัปดาห์เอกภาพอิสลาม พร้อมด้วยประชาชนจำนวนหนึ่งจากทุกกลุ่มชน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เนื่องในวันที่ 17 รอบีอุลเอาวัล ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และอิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) โดยท่านผู้นำ ถือว่า ความรู้สึกถึงอันตรายจากอำนาจของเหล่าผู้กดขี่จากคำสอนของอัลกุรอาน เป็นเหตุผลในการวางแผนการร้ายเพื่อดูหมิ่นพระมหาคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ของพระผู้เป็นเจ้า และท่านยังเน้นให้เห็นว่า วิธีที่จะจัดการกับการแทรกแซงของสหรัฐอเมริกาและอำนาจของเหล่าผู้กดขี่ คือ ความเป็นเอกภาพของประเทศอิสลามและการนำนโยบายเดียวมาใช้ในประเด็นพื้นฐาน โดยท่านกล่าวว่า “การปรับความสัมพันธ์อย่างปกติกับระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์นั้น เป็นการพนันที่เหมือนกับการเดิมพันม้าที่กำลังพ่ายแพ้ จะพบแต่ความล้มเหลว เพราะว่า ขบวนการต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์ในปัจจุบันนี้นั้น มีพลังมากขึ้นและเตรียมความพร้อมมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา และระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ จะถูกทำลายและกำลังจะพบกับความตาย”
ในการพบปะกันครั้งนี้ ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวแสดงความยินดี เนื่องในวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะอาลิฮีวะซัลลัม) และท่านอิมามญะอ์ฟัร ศอดิก (อ.) โดยท่านถือว่า มนุษยชาติไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงบุคลิกภาพอันยิ่งใหญ่ของผู้สูงส่งนี้และภาษาของมนุษย์ก็ไม่สามารถอธิบายถึงความประเสริฐของเขาได้ โดยท่านกล่าวว่า “ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงของศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ มีสิทธิเหนือบ่าของมวลมนุษยชาติ และทุกคนนั้นเป็นหนี้บุญคุณเขา เพราะศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เสมือนดั่งแพทย์ที่มีความชำนาญและชาญฉลาด เป็นใบสั่งยาแห่งความรู้และการปฏิบัติสำหรับการบำบัดความเจ็บปวดที่สำคัญทั้งหมด เช่น ความยากจน ความโง่เขลา การกดขี่ การเลือกปฏิบัติ การมีตัณหาและอารมณ์ใฝ่ต่ำ การไร้ซึ่งศรัทธา ความไร้จุดหมายปลายทาง การทุจริตทางศีลธรรม จริยธรรม และความเสียหายทางสังคมต่อมนุษยชาติ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของสิทธิในการมีชีวิตจากสายตาของปัญญาชนทุกคนในโลกว่า เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นสูงสุด โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสในอัลกุรอานว่า ท่านศาสดา จะให้ชีวิตอันนิรันดร์แก่พวกท่าน ซึ่งจะทำให้พวกท่านนั้นมีความสุขทั้งในโลกนี้และปรโลก ซึ่งชีวิตนี้ จะไม่มีวัน สูญสลายและไม่มีผลเสีย ด้วยเหตุนี้เอง เราทั้งหมดทุกคนจึงถือว่า เป็นหนี้บุญคุณต่อท่านศาสดาและเขามีสิทธิ์ในการมีชีวิตเหนือมนุษยชาติอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ยกหลักฐานอ้างอิงจากโองการหนึ่งของอัลกุรอาน ถือว่า วิธีตอบแทนหนี้ของท่านศาสดา คือ การญิฮาด(ต่อสู้) ที่สมบูรณ์ในวิถีแห่งพระเจ้า โดยท่านกล่าวว่า”ความหมายของญิฮาด ไม่ใช่ ญิฮาดด้วยอาวุธเพียงเท่านั้น แต่ญิฮาดยังสามารถใช้ได้ในทุกสนาม ไม่ว่าจะเป็นสนามทางวิทยาศาสตร์ การเมือง ความรู้ และศีลธรรมและจริยธรรม และด้วยญิฮาดในเวทีเหล่านี้ เราสามารถตอบแทนหนี้ของบุคคลผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้อย่างสุดความสามารถ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นย้ำให้เห็นว่า วันนี้ ความเป็นปฏิปักษ์กับศาสนาอิสลามชัดเจนมากขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา เห็นได้จากตัวอย่างของความเป็นปฏิปักษ์นี้ คือ การดูหมิ่นอย่างโง่เขลาต่ออัลกุรอาน โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ผู้โง่เขลาคนหนึ่งทำการดูหมิ่น ขณะที่รัฐบาลหนึ่งกลับให้การสนับสนุน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประเด็นนี้ เป็นเพียงการดำเนินการบนเวทีและไม่ถือเป็นการดูหมิ่น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “เรานั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ที่โง่เขลาที่ไม่มีความรู้ ที่จะต้องถูกตัดสินด้วยการลงโทษที่รุนแรงที่สุดและการประหารชีวิต เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์ประกอบที่อยู่เบื้องหลัง แต่ประเด็นคือ เหล่าผู้วางแผนการในการก่ออาชญากรรมและการกระทำที่ดูหมิ่นต่างหาก”
ท่านอยาตุลลอฮ์คาเมเนอี ถือว่า ความคิดที่จะทำให้กุรอานมีความอ่อนแอลงด้วยการกระทำเหล่านี้เป็นเพียงภาพลวงตา และเผยให้เห็นถึงธรรมชาติภายในของเหล่าศัตรูของอัลกุรอาน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “อัลกุรอาน เป็นคัมภีร์แห่งปัญญา ความรู้ สร้างความเป็นมนุษย์ และการตื่นตัว ขณะที่ความเป็นปฏิปักษ์กับอัลกุรอาน ในความเป็นจริง คือ ความเป็นปฏิปักษ์ต่อแนวความคิดอันสูงส่งเหล่านี้ แน่นอนว่า อัลกุรอาน ถือเป็นภัยคุกคามต่อเหล่าอำนาจที่ทุจริต เนื่องจากอัลกุรอานประณามการกดขี่และกล่าวโทษต่อผู้ถูกกดขี่ที่ยอมจำนนต่อการกดขี่อีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุผลของการดูหมิ่นอัลกุรอานด้วยการกล่าวข้ออ้างซ้ำๆ ที่เป็นเท็จและมีความผิดพลาด เช่น เสรีภาพในการแสดงออก เป็นเหตุให้เกิดความไร้ศักดิ์ศรีของเหล่าผู้อ้าง โดยท่านกล่าวว่า “ในประเทศที่อนุญาตให้มีการดูหมิ่นอัลกุรอาน ภายใต้ข้ออ้างของเสรีภาพในการแสดงออก พวกเขาจะอนุญาตด้วยหรือไม่ ให้มีการโจมตีสัญลักษณ์ของพวกไซออนิสต์? ด้วยภาษาใดหรือที่เราสามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นว่า พวกเขาอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ที่ฉ้อฉล อาชญากร และปล้นสะดมของโลก”
ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงวโรกาสสัปดาห์เอกภาพอิสลาม โดยท่านผู้นำได้เชิญชวนให้บรรดาผู้นำและนักการเมืองของประเทศอิสลาม ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญและชนชั้นสูงของโลกอิสลาม ใช้ความคิดเกี่ยวกับคำถามนี้ที่ว่า ใครเป็นศัตรูของความเป็นเอกภาพของประเทศอิสลาม และใครคือผู้ที่ได้รับความเสียหายจากเอกภาพของชาวมุสลิมทั้งหลาย ทั้งมีการสร้างอุปสรรค การโจรกรรมและการแทรกแซงต่อพวกเขา?
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำให้เห็นว่า ความเป็นเอกภาพของประเทศอิสลามในภูมิภาคเอเชียตะวันตกและแอฟริกาเหนือ จะเป็นอุปสรรคต่อการโจรกรรม การพูดจาข่มขู่ การบีบบังคับ และการแทรกแซงจากสหรัฐอเมริกา โดยท่านกล่าวว่า “ในปัจจุบันนี้ สหรัฐฯ กำลังโจมตีประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ การขโมยน้ำมันของซีเรีย และการดูแลคุ้มครองกลุ่มไอซิสที่กดขี่ ป่าเถื่อน และกระหายเลือด ไว้ในค่ายลี้ภัยของตน เพื่อนำพวกเหล่านี้กลับมาสู่สนามอีกครั้งในวันที่มีความต้องการและแทรกแซงกิจการของประเทศต่างๆ แต่หากเราทั้งหมดทุกคนมีความเป็นเอกภาพกัน ไม่ว่าจะเป็น อิหร่าน อิรัก ซีเรีย เลบานอน ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ จอร์แดน และประเทศกลุ่มอ่าวเปอร์เซีย มีนโยบายเดียวที่นำมาใช้ในประเด็นพื้นฐานและทั่วไป เหล่าอำนาจที่กดขี่ก็ไม่มีความสามารถและไม่กล้าที่จะแทรกแซงกิจการภายในและนโยบายต่างประเทศของพวกเขา”
ท่านอยาตุลลอฮ์คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ดังที่เราได้กล่าวไปหลายครั้งแล้วว่า เรานั้นไม่สนับสนุนให้ผู้ใดก่อสงครามและการปฏิบัติการทางทหาร และเราก็หลีกเลี่ยงด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง การเชิญชวนให้อยู่ร่วมกันและมีความเป็นเอกภาพกัน เพื่อป้องกันการก่อสงครามของอเมริกา เพราะพวกนี้ เป็นผู้ที่ก่อสงครามและต้นเหตุของสงครามทั้งหมดในภูมิภาคนั้น มีต่างชาติเป็นองค์ประกอบหลัก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า มีความจำเป็นสำหรับเหล่าผู้นำและบุคคลสำคัญของโลกอิสลามที่จะต้องคำนึงถึงประเด็นที่สำคัญของความเป็นเอกภาพ และโดยเฉพาะในประเด็นอื่นๆ ของภูมิภาค หมายถึง อาชญากรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยท่านกล่าวว่า “วันนี้ ระบอบการปกครองเถื่อนนี้ เต็มไปด้วยกับความเกลียดชังและความโกรธแค้น ไม่ใช่เฉพาะจากสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านเท่านั้น แต่จากทุกประเทศรอบๆตัว เช่น อียิปต์ ซีเรีย และอิรัก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุผลของความเกลียดชังและความโกรธแค้นนี้ คือ การสร้างอุปสรรคของประเทศทั้งหลายในช่วงเวลาต่างๆเพื่อไม่ให้พวกเหล่านั้นบรรลุเป้าหมาย หมายถึง การละเมิดแม่น้ำไนล์ไปจนถึงแม่น้ำยูเฟรติส โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธแค้น แน่นอนว่า ตามการตีความของอัลกุรอานที่กล่าวว่า จงโกรธและจงตายด้วยความโกรธนี้ พวกเขากำลังจะตาย และด้วยความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า โองการนี้ที่เกี่ยวกับระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ กำลังจะอุบัติขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ปัญหาปาเลสไตน์และการละเมิดสิทธิและการขับไล่ประชาชาติหนึ่งให้ออกไปจากบ้านของพวกเขา และการทรมานและการสังหารพวกเขา เป็นปัญหาแรกของโลกอิสลาม ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา โดยท่านเน้นย้ำว่า “ทัศนะที่แน่นอนของสาธารณรัฐอิสลาม ก็คือ รัฐบาลที่เดิมพันเพื่อปรับความสัมพันธ์อย่างปกติกับระบอบรัฐเถื่อนไซออนนิสต์ ซึ่งเป็นตัวอย่างของวาระแห่งชาติของพวกเขา พวกเขาจะพบกับความเสียหาย เพราะรัฐเถื่อนนี้นั้นกำลังจะสูญสลายและพวกเขากำลังเดิมพันกับม้าที่พ่ายแพ้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เยาวชนชาวปาเลสไตน์และขบวนการต่อสู้ต่อการละเมิดสิทธิและต่อต้านการกดขี่ข่มเหงชาวปาเลสไตน์ ในวันนี้นั้น มีพลังมากยิ่งขึ้น และเตรียมความพร้อมมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “หากพระเจ้าทรงประสงค์ ขบวนการนี้ก็จะได้ผลลัพท์ ดังเช่นที่ท่านอิมามโคมัยนี ผู้สูงส่ง เรียกรัฐเถื่อนนี้ว่า เป็นมะเร็งร้าย และรัฐเถื่อนนี้จะต้องถูกถอนรากถอนโคนด้วยมือของชาวปาเลสไตน์และกองกำลังแห่งการยืนหยัดต่อสู้ทั่วทั้งภูมิภาคให้สิ้นซาก”
ในช่วงท้าย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวแสดงความหวังว่า ประชาชาติอิสลาม จะใช้ประโยชน์สูงสุดด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า ที่จะสามารถสร้างความภาคภูมิใจ เกียรติและศักดิ์ศรีจากศักยภาพทางธรรมชาติและทางมนุษยธรรม
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ พณฯ ราอีซี ประธานาธิบดีอิหร่าน กล่าวถึงการต่อสู้ของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ในการสร้างมนุษย์และสังคมบนพื้นฐานของหลักเอกะเทวนิยม(เตาฮีด) และความยุติธรรม การยืนหยัดต่อต้านความเป็นศัตรูและการต่อสู้บนเส้นทางสู่เป้าหมาย ถือเป็นคำสอนที่สำคัญที่สุดของท่านศาสดา ผู้ยิ่งใหญ่ โดยเขากล่าวว่า “ความสามัคคีของโลกอิสลามตามแนวคิดเรื่องเอกภาพและการยืนหยัดต่อสู้และการปฏิเสธพวกตักฟีร และการประนีประนอม ถือเป็นข่าวดีสำหรับการก่อตัวของอารยธรรมใหม่ของอิสลาม
พณฯ ราอีซี ยังชี้ให้เห็นถึงการเกิดขึ้นของการสำแดงความช่วยเหลือและการชี้นำของพระเจ้า จากประสบการณ์ของการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน การพึ่งพาพระองค์ และการมอบความไว้วางใจต่อประชาชน และการได้รับประโยชน์จากข้อได้เปรียบที่สัมพันธ์กันของโลกอิสลาม ถือว่า เป็นปัจจัยของความก้าวหน้าและชัยชนะต่อเจตจำนงของผู้ที่ประสงค์ร้าย โดยเขากล่าวเสริมว่า “สันติภาพของบางรัฐบาลกับระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ จะไม่เป็นการสร้างความมั่นคงให้กับพวกเขา เพราะว่ารั ฐเถื่อนกำลังจะสูญสลาย และชัยชนะของกลุ่มมุกอวิมัตกำลังจะใกล้เข้ามาแล้ว”
No Result
View All Result