รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ร่อนจดหมายถึงยูเอ็น เรียกให้สหประชาชาติประกาศยุติการรุกรานของผู้รุกราน
Burapanews – สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ส่งจดหมาย ถึงเลขาธิการสหประชาชาติ เกี่ยวกับกรณีเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในเขตฉนวนกาซา
ด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงเมตตา กรุณาเสมอ
เรียน พณฯ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ
ข้าพเจ้าเขียนจดหมายฉบับนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความกังวลใจและความรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งของรัฐบาลสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านที่มีต่อการละเมิดและการก่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยระบอบรัฐเถื่อนอิสราเอลที่ยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ และเพื่อเรียกร้องให้มีการแทรกแซงอย่างมีความรับผิดชอบของ พณฯ ท่าน และองค์การสหประชาชาติจะต้องประกาศยุติการรุกราน ทั้งยังถือเป็นคำตอบให้กับเหล่าผู้รุกรานที่ยึดครองอีกด้วย
นับเป็นเวลากว่าเจ็ดทศวรรษแล้ว ที่ประชาชาติอันเก่าแก่ซึ่งถูกลิดรอนสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตัวเองและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอื่นๆของพวกเขา ทั้งแผ่นดินและบ้านเรือนของบรรพบุรุษของพวกเขาถูกยึดครอง
ในช่วงเจ็ดทศวรรษที่ผ่านมานี้ ระบอบไซออนิสต์ไม่ได้ให้ความสนใจ แม้แต่น้อยต่อกฎหมายและบรรทัดฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงกฎหมายด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศและสิทธิมนุษยชน ด้วยผลประโยชน์จากการสนับสนุนทุกด้านของสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตก ซึ่ง ระบอบรัฐเถื่อนนี้ ได้รับการยกเว้นจากความรับผิดชอบและการลงโทษใดๆ
อาชญากรรมสงครามที่เลวร้ายที่สุด คือ การก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กระทำต่อชาวปาเลสไตน์ ผู้ถูกกดขี่ การยึดแผ่นดินของผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง การสังหารหมู่ การทำลายบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นาของผู้คน การจับกุมและการทรมานผู้ชายและผู้หญิงหรือแม้แต่เด็กๆ
ความอัปยศอดสูและการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของประชาชาติปาเลสไตน์ การดูหมิ่นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอิสลามหลายครั้ง รวมถึงมัสยิดอัล-อักซอ ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาชญากรรมและการละเมิดที่กระทำโดยระบอบรัฐเถื่อนที่ยึดครองปาเลสไตน์ การสนับสนุนอย่างไร้เงื่อนไขของประเทศชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาต่อระบอบรัฐเถื่อนและการเพิกเฉยต่อการรุกรานและการกดขี่ชาวปาเลสไตน์อย่างน่าอับอาย เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของการดำรงอยู่ของระบอบรัฐเถื่อนนี้และการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศขั้นต้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่เป็นที่สงสัยเลย เนื่องจากการสนับสนุนทางการเงิน อาวุธยุทโธปกรณ์ และการเมืองอย่างกว้างขวางของระบอบรัฐเถื่อนนี้ เหล่าประเทศดังกล่าว จึงถือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการก่ออาชญากรรมต่อประชาชนชาวปาเลสไตน์และภูมิภาค ก่อให้เกิดความรับผิดชอบระหว่างประเทศสำหรับพวกเขา และพวกเขาเหล่านี้ จะต้องรับผิดชอบต่อหน้าประชาคมโลก
สิทธิในการป้องกันโดยชอบธรรม ด้วยกฎหมาย ถือเป็นสิทธิโดยธรรมชาติที่ได้รับการยอมรับอย่างชัดเจนในกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ ประชาชาติปาเลสไตน์ ในฐานะประชาชาติที่ถูกลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานในการกำหนดชะตากรรมของตนเองอย่างไม่ยุติธรรม และการเผชิญหน้ากับการโจมตีและการละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ในทุกชั่วขณะหนึ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขานั้นมีสิทธิที่จะปกป้องตนเองและยืนหยัดต่อสู้กับการยึดครองและการรุกราน นี่ถือเป็นสิทธิของประชาชาติปาเลสไตน์ที่ไม่จำเป็นจะต้องได้รับใบอนุญาตหรือคำสั่งจากบุคคลอื่นเพื่อใช้สิทธิดังกล่าวนี้ และด้วยการใช้ประโยชน์จากอิสรภาพและการมีวุฒิภาวะอย่างเต็มที่ อันเป็นผลมาจากแปดทศวรรษแห่งการต่อสู้และการอดทนต่อความทุกข์ทรมานที่ร้ายแรงที่สุด และความขมขื่นของชีวิตที่อยู่ภายใต้การยึดครอง ทั้งการตัดสินใจในประเด็นของเวลาและสถานที่และวิธีการในการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้น การคาดการณ์ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่า ปฏิบัติการพายุอัลอักซอ เป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเองและเป็นธรรมชาติของชาวปาเลสไตน์ เพื่อปกป้องสิทธิของตนเองและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และปฏิกิริยาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อการกดขี่และการกดขี่อย่างต่อเนื่องและการไม่มีที่สิ้นสุดของเหล่าผู้ยึดครองในการต่อต้านประชาชนชาวปาเลสไตน์ ผู้บริสุทธิ์และถูกกดขี่ข่มเหง
เมื่อเหลียวมองถึงบัญชีดำและความต่อเนื่องของระบอบไซออนิสต์ในการก่ออาชญากรรมระหว่างประเทศที่ชั่วร้ายและรุนแรงที่สุดต่อชาวปาเลสไตน์ ตั้งแต่ อาชญากรรมดัยร์ยาซีนไปจนถึงการสังหารหมู่ศอบรอและชาทีลา( Sabra and Shatila) และจากสงครามกาซาในปี 2008 จนถึงสงครามกาซาในปี 2014 และเมื่อพิจารณาถึงความเงียบงันอย่างพึงพอใจและแม้กระทั่งการสนับสนุนอย่างชัดเจนของประเทศชาติตะวันตกบางประเทศ จากการทิ้งระเบิดเข้าใส่บ้านเรือนในฉนวนกาซา ซึ่งจนถึงขณะนี้ ได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปหลายร้อยคน รวมทั้งผู้หญิงและเด็กด้วย นอกจากนี้ ด้วยการทบทวนต่อการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและการคุกคามที่ชัดเจนของเจ้าหน้าที่ไซออนิสต์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา รวมถึงการตัดการเข้าถึง อาหาร น้ำ เชื้อเพลิง และไฟฟ้า ของประชาชนชาวกาซา ข้าพเจ้ารู้สึกว่า จำเป็นที่จะต้องเตือนเกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติอันใหญ่หลวงด้านมนุษยธรรมในปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง และกล่าวถึงความรับผิดชอบของสหประชาชาติและเลขาธิการเป็นการส่วนตัว ในการสนับสนุนต่อประชาชนปาเลสไตน์ที่ถูกกดขี่ และเตือนระบอบรัฐเถื่อน ผู้ยึดครองและผู้รุกรานไม่ให้ดำเนินการต่อไปในความรุนแรง การสังหาร และการทำลายล้างในฉนวนกาซา
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเมินเฉยต่อความจริงที่ว่า หลักฐานและพยานทั้งหมด รวมถึงจุดยืนของเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่ยึดครอง บ่งชี้ถึงความตั้งใจของระบอบรัฐเถื่อนนี้ ที่จะแก้แค้นปฏิบัติการป้องกันของชาวปาเลสไตน์ โดยผ่านการสังหารหมู่ของชาวปาเลสไตน์ ไม่มีการแบ่งแยกชาวปาเลสไตน์และการทำลายล้างโครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่ที่อยู่อาศัย มัสยิด สถานพยาบาลและสถานศึกษาในฉนวนกาซา และนี่ไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจากการรับรู้ถึงจุดเริ่มต้นของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ประชาชาติ หนึ่ง ข้าพเจ้าไม่คิดเลยว่า จะมีหน่วยงานที่มีมโนธรรมหรือมีความรับผิดชอบใดๆ จะสามารถเพิกเฉยต่อสัญญาณที่ชัดเจนของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในศตวรรษที่ 21 ได้
ข้าพเจ้าจึงขอเรียกร้องให้ พณฯ ท่าน ประณามการกระทำใด ๆ ที่ขัดแย้งกับกฎหมายระหว่างประเทศโดยระบอบไซออนิสต์ต่อชาวปาเลสไตน์ในทันที ใช้มาตรการที่จำเป็นอย่างเร็วที่สุดเพื่อป้องกันการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกฎหมายด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศและสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรง โดยเฉพาะอาชญากรรมสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง และโดยเฉพาะในฉนวนกาซาและขอเรียกร้องให้กลุ่มประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ งดเว้นความช่วยเหลือและสนับสนุนใดๆ แก่ผู้รุกรานที่ยึดครอง เปรียบดั่งเป็นเสมือนผู้สมรู้ร่วมคิดในการก่ออาชญากรรม และจะต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาคมโลก
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้า ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า วิธีการเดียวในการแก้ไขของปัญหานี้ คือ การยุติการยึดครองและการรู้จักอย่างเป็นทางการถึงสิทธิของชาวปาเลสไตน์ที่ถูกกดขี่ในการกำหนดชะตากรรมของตนเอง และการสถาปนารัฐปาเลสไตน์ที่เป็นอิสระในดินแดนนี้ทั้งหมด โดยที่มีอัลกุดส์ (กรุงเยรูซาเล็ม) เป็นเมืองหลวงของปาเลสไตน์
ฮุเซน อับดุลลอฮิยอน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน
ที่มา