เปิดข้อเท็จจริงกรณีพิพาทดินแดนนากอร์โน-คาราบัค เหตุขัดแย้งระหว่าง อาเซอร์ไบจานและอาร์เมเนีย
จะเห็นได้ว่า วิกฤตคอเคซัส คือ ปัจจัยที่เกิดข้อพิพาทดินแดนระหว่างอาเซอร์ไบจานและอาร์เมเนีย จากการเปิดเผยของนายอิลฮาม อาลีเยฟ Ilham Aliyev ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจาน แต่ทว่า ข้อเท็จจริงและวิกฤตนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เราจะมาหาคำตอบกัน
คำพูดของ อาลีเยฟ เกี่ยวกับข้ออ้างในกรรมสิทธิ์ทางประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐบากู เหนือ ดินแดนนากอร์โน-คาราบัค (Nagorno-Karabakh) และอาร์เมเนีย ถือเป็นความเท็จที่เป็นทางการและการบิดเบือนทางหน้าประวัติศาสตร์
ทว่า ดินแดนนากอร์โน -คาราบัค ไม่ใช่ดินแดนประวัติศาสตร์ของศาสนาอิสลาม ไม่ใช่ดินแดนของชาวคริสต์ ไม่ใช่ดินแดนของสาธารณรัฐบากู แต่เป็นดินแดนประวัติศาสตร์ของอิหร่าน
ก่อนการแยกตัวของนากอร์โน-คาราบัค ออกจากอิหร่าน ระหว่างสนธิสัญญาโกเลสทาน (ค.ศ. 1813) คาราบัค เป็นหนึ่งในจังหวัดทางตอนเหนือของอิหร่าน ใกล้แม่น้ำอารัส พร้อมด้วยเชอร์วาน ดาเกสถาน เยเรวาน ฯลฯ
ประเด็นนี้ ถูกกล่าวถึงในแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์และแผนที่ต่างๆ ขณะที่เอกสารที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งในประเด็นนี้ ก็คือ จดหมายของชาห์รุค บุตรของติมูร์ แลง ส่งถึงสุลต่าน มูราด อุสมานี (ออตโตมัน)
ในจดหมายภาษาเปอร์เซียฉบับนี้ ชาห์รุคห์กล่าวถึงคาราบัคว่า เป็นส่วนหนึ่งของอิหร่าน และใช้วลีที่ว่า “คาราบัคแห่งอิหร่าน” ในข้อความของจดหมายของเขา
ในเดือนตุลาคม ปี 1917 จากการปฏิวัติครั้งใหญ่ คาราบัค กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลรัสเซีย และหลังจากนั้น ในปี 1920 ได้รับเอกราชโ ดยอยู่ในการดูแลสภารัฐอาร์เมเนีย
เมื่อพวกบอลเชวิค (Bolsheviks) ขึ้นสู่อำนาจและอยู่ภายใต้ร่มเงาของบรรยากาศการปฏิวัติ รัฐบาลอิสระได้ก่อตั้งขึ้นในคอเคซัส
ในเดือนพฤษภาคม ปี 1918 พรรคความเท่าเทียมนำโดยมูฮัมหมัด อามีน ราซูลซาเดห์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลออตโตมันและอยู่ภายใต้เงาของข้อบกพร่องและความอ่อนแอของรัฐบาลกาญาร์ ต่างพยายามขโมยชื่อของอาเซอร์ไบจานไปจากจังหวัดหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิหร่านและก่อตั้งรัฐบาลและประเทศที่เรียกว่า “สาธารณรัฐประชาธิปไตยอาเซอร์ไบจาน” ทางตอนเหนือของแม่น้ำอารัส ขึ้นมาแทน
ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีรัฐและประเทศใดเรียกว่า “อาเซอร์ไบจาน” ทางตอนเหนือของแม่น้ำอารัส ในเวลาเดียวกัน ก็มีการจัดตั้งรัฐบาลอีกแห่งหนึ่งภายใต้ชื่อ “สาธารณรัฐอาร์เมเนีย” ทางตอนเหนือของแม่น้ำอารัส
เมืองหลวงของทั้งสองรัฐถูกยึดครองโดยกองทัพโซเวียตในปี 1920 และทั้งสองรัฐอยู่ภายใต้การปกครองอธิปไตยของสหภาพโซเวียต
ในช่วงระยะเวลาสองปีนั้น (1918 ถึง 1920) คาราบัคไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลใด ๆ ของเยเรวานและบากู
แน่นอนว่า สภาผู้นำของ “คาราบัค” ตัดสินใจเข้าร่วมกับสาธารณรัฐอาร์เมเนีย ในการลงคะแนนเสียงประชามติซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อันเนื่องจากการยึดครองเยเรวาน บากู และคาราบัค โดยกองกำลังของสหภาพโซเวียต
ในปี 1923 โจเซฟ สตาลิน โดยไม่สนใจความคิดเห็นของสภาผู้นำแห่งคาราบัค และรักษาเอกราชของดินแดนคาราบัค เขาจึงมอบอำนาจดังกล่าวให้กับ “สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอาเซอร์ไบจาน”
ในการตัดสินใจของสตาลินครั้งนี้ บุคคลสำคัญในบากู เช่น Nariman Narimanov ซึ่งเป็นสมาชิกของสำนักงานใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งรัสเซียก็เข้ามามีอิทธิพล
ด้วยจุดเริ่มต้นอันจริงจังของสงครามระหว่างบากูและเยเรวานในปี 1989 และการล่มสลายของสหภาพโซเวียต แต่ละฝ่ายอ้างการเป็นกรรมสิทธิ์ในการครอบครองดินแดนคาราบัค
ในปี 1989 มีการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งสุดท้ายของดินแดนคาราบัค ก่อนที่สหภาพโซเวียตจะล่มสลายและมีการแพร่กระจายของสงครามบากูและเยเรวาน
ในการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งนี้ ประชากรอาร์เมเนียของนากอร์โน-คาราบัค อยู่ที่ 145,593 คน เท่ากับ 76.4% ของทั้งหมด และประชากรมุสลิม 42,871 คน เท่ากับ 22.4% ของประชากรทั้งหมดของดินแดน
ขณะที่ 1.2% ของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ได้แก่ พวกรัสเซีย Assyrian และ Yazidis เป็นต้น