บรรดาผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม
“เป้าหมายหลักของศัตรู คือ การทำลายความมั่นคงของประเทศและการดำเนินชีวิตของประชาชน”
Burapanews สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า บรรดาผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ของกองกำลังดังกล่าวที่เข้าร่วมในการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 24 เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำถือว่า การเกิดขึ้น การเติบโต และการขจัดวิกฤต อีกทั้งการปฏิบัติงานของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ในมิติต่างๆทางการทหาร ภาคสาธารณชน การให้บริการ และการสร้างสรร ล้วนมีเอกลักษณ์อันจำเพาะและสร้างความภาคภูมิใจทั้งสิ้น และท่านผู้นำยังชี้ให้เห็นถึงความต่อเนื่องของนโยบายของศัตรูในการก่อวิกฤต การทำลายความมั่นคงของประเทศและสร้างความสับสนในการดำเนินชีวิตของผู้คน โดยท่านเน้นย้ำว่า “ทั้งในแง่ของเอกภาพของชาติ การมีส่วนร่วมของประชาชน การช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นที่อ่อนแอ การทำงานในรูปแบบญิฮาดีตลอด 24 ชั่วโมงของเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย และการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ความหวัง และความกระตือรือร้นที่จะบรรลุสุ่เป้าหมายของการปฏิวัติอิสลาม ถือเป็นการทำให้ศัตรูต้องพบกับความล้มเหลวและชัยชนะ เป็นของประชาชาติอย่างแน่นอน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การลืมข้อเท็จจริงและความจริงของการปฏิวัติอิสลามในจิตใจของประชาชาติอิหร่าน เป็นหนึ่งในเป้าหมายของเหล่าซาตานมารร้ายของโลก และท่านผู้นำยังถือว่า มีเอกลักษณ์อันจำเพาะด้วยการจัดตั้งกลุ่มที่มีคุณลักษณะพิเศษของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ท่ามกลางการปฏิวัติต่างๆที่ยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ โดยท่านกล่าวว่า “มนุษย์ทุกกลุ่มชนต่างมีข้อบกพร่องและความอ่อนแอ แต่ทว่าในประวัติศาสตร์ของประเทศนั้นไม่เคยมีกลุ่มทหารใดที่มีความมั่นคงทางจิตวิญญาณ การเมือง ศีลธรรม และมนุษยธรรม เช่นนี้มาก่อน”
ท่านผู้บัญชาการสูงสุดทุกเหล่าทัพ ถือว่า การเติบโตภายในของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติ ไม่เสมอเหมือนผู้ใดด้วยเช่นกัน และท่านยังอธิบายถึงการขยายตัวองค์กรของหน่วยงานนี้ หลังจากก่อตั้งได้ไม่นานนัก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามนั้นอยู่เคียงข้างและมีความร่วมมือกับกองทัพที่เสียสละ ประมาณสองปีหลังจากการก่อตั้ง ทั้งยังแสดงบทบาทเป็นตัวชี้ขาดในการปฏิบัติการที่สำคัญหลายครั้ง รวมถึง ฟัตฮุลมุบีนและการปลดปล่อยเมืองโครรัมชาห์ร์ และยังสามารถเปิดเผยพลังอันมหาศาลจากการป้องกันทางทหารของการปฏิวัติอิสลามในการเผชิญหน้ากับศัตรูอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การกำเนิด และความแข็งแกร่งภายในของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “กองกำลังนี้ กลายเป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่และมีอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างครบครัน และยังถือเป็นองค์กรในการต่อต้านการก่อการร้ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งกองทัพหลักหลายแห่งที่ยิ่งใหญ่ของโลกไม่สามารถที่จะกระทำในลักษณะที่คล้ายกับการปฏิบัติการเหล่านี้ได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การปฏิบัติการของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม เป็นการปฏิบัติการณ์ที่สร้างความน่าดึงดูดใจและมีหลายเหตุผลด้วยกัน และท่านยังถือว่า การประสบความสำเร็จจากการเผชิญหน้ากับวิกฤตต่างๆ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ต่อเนื่องของการปฏิบัติการของหน่วยงานนี้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงการประชุมของเหล่าผู้นำสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ในช่วงชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามในเมืองกวาเดอลูป ประเทศฝรั่งเศส โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “พวกเขามองว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะกอบกู้ระบอบรัฐบาลหุ่นเชิด แต่ด้วยการออกแบบกลยุทธ์ของวิกฤตการณ์ที่ติดต่อกัน พวกเขาหวังว่า วิกฤตเหล่านี้ จะทำลายทุกรัฐบาลในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังย้อนระลึกถึงวิกฤตการณ์ต่างๆ ความไม่สงบ การก่อจลาจล และการเคลื่อนไหวที่แพร่หลายของกลุ่มก่อการร้ายในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศในช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เอกสารของหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯ ในอิหร่าน ยังแสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นภายในกรอบของยุทธศาสตร์เดียวกับตะวันตกในการก่อวิกฤตการณ์ในอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม เป็นปัจจัยที่ขจัดวิกฤติการณ์เหล่านั้นและการช่วยเหลือประชาชนในจังหวัดต่างๆที่เกี่ยวข้อง โดยท่านเน้นย้ำว่า “เหล่าศัตรูต่างพยายามบ่อนทำลายการปฏิวัติอิสลามด้วยการก่อวิกฤตการณ์อย่างต่อเนื่อง และหลังจากนั้น จึงจบภารกิจของการปฏิวัติอิสลาม ด้วยการกระทำที่คล้ายกับรัฐประหาร เมื่อวันที่ 28 เดือนมุรดอด (ปฏิทินอิหร่าน) แต่ทว่ากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรัฐประหารซ้ำเหมือนวันที่ 28 มุรดอด และไม่ปล่อยให้อิหร่านหันเหออกจากแนวทางที่ถูกต้องที่เริ่มต้นขึ้น และนี่คือสาเหตุที่เหล่าศัตรูมีความเกลียดชังต่อกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอย่างมาก”
ท่านผู้บัญชาการสูงสุดทุกเหล่าทัพ ถือว่า การปฏิบัติการของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมและมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ขีดความสามารถที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกมิติหนึ่งของการปฏิบัติการของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามที่สร้างความมั่นคงและการป้องปรามให้กับอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การลดลงและการไม่กล่าวซ้ำของคำว่า ทางเลือกทางทหารตั้งอยู่บนโต๊ะ อันเป็นผลที่เกิดมาจากอำนาจและขีดความสามารถในการป้องปรามของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “ทุกคนทั้งหมดต่างทราบดีว่า คำนี้ กลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ไร้ความหมายและไร้คุณค่าไปแล้ว”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ประเมินผลงานของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามในประเด็นการสร้างสรรและโครงสร้างพื้นฐานว่า สร้างความภาคภูมิใจ มีความโดดเด่น และในหลายมิติที่ไม่เสมอเหมือนผู้ใด โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามให้บริการประชาชนด้วยขีดความสามารถทั้งหมดของพวกเขา ในการบริการสาธารณะ การขจัดความขาดแคลน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า”
อิทธิพลของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ในบรรยากาศสาธารณะของประเทศและแรงดึงดูดของเยาวชนคนหนุ่มสาว เป็นอีกมิติหนึ่งของการปฏิบัติการของกองกำลังนี้ โดยท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “เมื่อองค์ประกอบของเยาวชน มองเห็นถึงความรู้และการกระทำผสมผสานกัน อุดมคติ การมองข้อเท็จจริง และพลังทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ กล่าวคือ การเชื่อมปฏิสัมพันธ์กับประชาชนในกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ยึดมาเป็นแบบอย่างและเป็นแรงดึงดูดใจให้บรรดาเยาวชนและเหล่าชะฮีดที่สร้างความภาคภูมิใจในการป้องกันฮะรัมอันศักด์สิทธิ์และความมั่นคง คือ ผลลัพท์ของแรงดึงดูดใจของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม และองค์ประกอบต่างๆที่สร้างความภาคภูมิใจของกองกำลังนี้ เช่น ชะฮีด นายพลฮัจญ์ กอเซ็ม สุไลมานี ชะฮีด ฮุญาญี และชะฮีด อิบรอฮีม ฮาดี”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีอิทธิพลข้ามพรมแดนของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม มีความลึกซึ้งและมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยท่านกล่าวว่า “การปฏิบัติการและแรงดึงดูดใจของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ในมิติต่างๆที่ทำให้ศัตรูมีความกังวลใจและเป็นการบีบบังคับให้ศัตรูทำลายกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ด้วยคำพูดที่โกหก กุข่าวลือ และเรื่องที่ไร้สาระ”
ประเด็นต่อไปที่ท่านผู้บัญชาการสูงสุดทุกเหล่าทัพได้ชี้แจงต่อกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามในการพบปะกันครั้งนี้ กล่าวคือ ความจำเป็นในการปกป้องตนเอง
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดต่างๆ เช่น การละเลยในการระลึกถึงพระเจ้า ความหยิ่งผยอง การหลงผิด การไม่ให้ความใส่ใจต่อนิอ์มัต(ความโปรดปราน) ต่างๆ และความช่วยเหลือจากพระเจ้า ความสิ้นหวังและความสงสัย การปกป้องตัวเอง หมายถึง การมีความตักวา (ความยำเกรง) ต่อพระผู้เป็นเจ้า ถือเป็นหน้าที่ของทุกกลุ่มและบุคคล โดยท่านกล่าวว่า “ความอ่อนแอทางบุคลิกภาพ เป็นสาเหตุทำให้มนุษย์ล้มลงในบางครั้ง ด้วยเหตุนี้เอง ก่อนที่จะปกป้องการปฏิวัติอิสลลาม เราควรดูแลอย่างต่อเนื่องและปกป้องตัวของพวกเราเองเสียก่อน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี แนะนำต่อบรรดาเจ้าหน้าที่ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามให้มีความละเอียดอ่อนและระมัดระวังการรักษาคุณค่าและความโดดเด่นที่สำคัญของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม และท่านผู้นำยังชี้ให้เห็นถึงโองการอันประเสริฐจากอัลกุรอานที่กล่าวถึงการเพิ่มการลงโทษและผลรางวัลเป็นสองเท่าของเหล่าสตรีและฐานภาพอันสูงส่งของศาสดา ผู้ทรงเกียรติโดยท่านกล่าวว่า “เราเป็นนักการศาสนาและพวกท่านทั้งหลาย คือ กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม เราก็เป็นเช่นนี้ ด้วยเช่นกัน เพราะว่า การปฏิบัติงานที่ดีหรือไม่ดีของเรา จะมีผลกระทบภายนอกหลายอย่างและความสำคัญของการระมัดระวังตนเองเป็นสองเท่า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึง การเสียสละของชนรุ่นก่อนของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม โดยแนะนำกับเยาวชนและการสร้างความภาคภูมิใจของกองกำลังนี้ในปัจจุบัน โดยท่านเน้นย้ำว่า “พวกท่านทั้งหลายจะต้องพยายามยกระดับความงดงามทางความรู้ ทางการปฏิบัติ และทางด้านจิตวิญญาณของพวกท่านให้สูงกว่ากลุ่มรุ่นก่อนๆ”
ประเด็นหลังจากนี้ ในคำปราศรัยของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี จากการพบปะกันครั้งนี้ กล่าวคือ คำตอบสำหรับคำถามที่สำคัญนี้ที่ว่า อะไรคือลักษณะพิเศษของการปฏิวัติอิสลามที่ทำให้มีการโจมตีจากศัตรูและในการเผชิญหน้ากับพวกเหล่านี้ การปกป้องจากการปฏิวัติอิสลามจึงถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง?
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีอำนาจอธิปไตยทางการเมืองของอิสลามในอิหร่านเป็นคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามนี้ และในการอธิบายถึงลักษณะพิเศษของอิสลามทางการเมือง โดยท่านกล่าวว่า “การต่อต้านการกดขี่และผู้กดขี่และการช่วยเหลือผู้ถูกกดขี่ เป็นคุณลักษณะที่โดดเด่นและมีความอ่อนไหวของอิสลามทางการเมือง ซึ่งแน่นอนว่า ระบอบเผด็จการ เช่น ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ที่มีรากฐานอยู่บนการยึดครอง การกดขี่ การบังคับและการทรมาน และส่งเสริมความดื้อรั้นและเป็นปฏิปักษ์กับระบบการปกครอง เช่น สาธารณรัฐอิสลาม”
รัฐอิสลามต่อต้านการรุกล้ำผลประโยชน์และทรัพยากรของชาติ เป็นคุณลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่งที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามมองว่า เป็นสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างเหล่านักล่าอาณานิคมกับรัฐอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ตรงกันข้ามกับแนวทางของนักล่าอาณานิคม คัมภีร์อัลกุรอาน มีคำสั่งให้เราเผชิญหน้ากับประชาชาติต่างๆ แม้กระทั่งกับประชาชาติที่มีความเชื่อและพฤติกรรมที่ไม่ตรงกัน ด้วยการปฏิบัติตามกระบวนการยุติธรรมและความยุติธรรม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การสะสมความมั่งคั่งและความก้าวหน้าของประเทศต่างๆ เช่น อังกฤษและฝรั่งเศส ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากการยึดครอง การล่าอาณานิคม และการแสวงหาผลประโยชน์ของประเทศอื่นๆ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “นักวิเคราะห์การเมืองบางคนถามว่า สาธารณรัฐอิสลามได้กระทำอะไรที่บางประเทศออกมาต่อต้าน ในขณะที่คำตอบของคำถามนี้นั้นชัดเจน และระบบปีศาจของลัทธินักล่าอาณานิคมที่มีภูมิหลังนั้นไม่สามารถกระทำดีกับระบบรัฐอิสลามได้”
ความเชื่อมั่นในเกียรติและศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน โดยไม่คำนึงถึงสีผิว เชื้อชาติ และภูมิภาค เป็นอีกคำสั่งหนึ่งของอัลกุรอาน ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามชี้ให้เห็น โดยท่านตั้งข้อสังเกตว่า”ตามตรรกะของอัลกุรอาน มนุษย์ผิวดำนั้น ไม่มีความแตกต่างจากมนุษย์อื่นๆ ด้วยเหตุนี้เอง พวกตะวันตกที่เผยแพร่ตรรกะการเหยียดสีผิวในทางที่อื้อฉาว สามารถที่จะเมตตาต่อระบบรัฐอิสลามได้กระนั้นหรือ?
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ปัจจัยอีกประการหนึ่ง คือ เหล่าผู้ประสงค์ร้ายไม่พอใจต่ออิสลามทางการเมือง โดยท่านชี้ให้เห็นถึงคำสั่งของอัลกุรอาน บนพื้นฐานของสันติภาพและพฤติกรรมอย่างสันติวิธีกับทุกประเทศและรัฐบาลใดๆ ที่ไม่ใช่แหล่งที่มาของความขัดแย้ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “รัฐอิสลามยอมรับคำพูดของประเทศใดก็ตาม แม้ว่าเป็นประเทศที่มีความคิดไม่เหมือนกัน ซึ่งมีเจตนาที่จะไม่สร้างความขัดแย้งกัน แต่หากเข้าใจถึงเล่ห์อุบาย การโกหก และพร้อมที่จะแทงข้างหลังของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะไม่ยอมรับและจะตอบโต้แบบเดียวกันในการเผชิญหน้ากับการไม่รักษาคำมั่นสัญญาด้วยเช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า สาเหตุที่สำคัญอีกประการของการเป็นปฏิปักษ์กับรัฐอิสลาม คือ การเป็นแบบอย่างและเป็นผู้บุกเบิกของสาธารณรัฐอิสลามในการขับเคลื่อนขบวนการยืนหยัดต่อสู้(มุกอวิมัต) ในภูมิภาคที่อ่อนไหวของภูมิภาคเอเชียตะวันตก โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “หากสาธารณรัฐอิสลามไม่เป็นแบบอย่าง ความเป็นปฏิปักษ์เหล่านี้ก็จะน้อยลง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เปรียบเทียบระหว่างการล้มเหลวของกองทัพของประเทศชาติอาหรับสามประเทศในการเผชิญหน้ากับรัฐเถื่อนไซออนิสต์ที่ต่ำต้อย ในช่วงหลายปีก่อนชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม กล่าวคือ ในสงครามหกวันในปี 1967 ค.ศ. และสงครามในปี 1973 ค.ศ. อีกด้วย โดยท่านตั้งข้อสังเกตว่า “หลังจากการปฏิวัติอิสลาม มาถึงจุดที่รัฐเถื่อนนี้ ได้พยายามเป็นเวลา 33 วัน เพื่อที่จะเอาชนะเหนือฮิซบุลลอฮ์ของเลบานอน แต่ก็พบกับความล้มเหลว และต้องหนีห่างอย่างอัปยศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำให้เห็นว่า ความแตกต่างระหว่างการปฏิวัติอิสลามกับก่อนการปฏิวัติอิสลาม คือ ความแตกต่างระหว่างสงคราม 6 วันในปี 1967 กับสงคราม 33 วัน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ปัจจุบันนี้ สิ่งต่างๆ มาถึงจุดที่เยาวชนคนหนุ่มสาวมีการเคลื่อนไหวและโจมตีในดินแดนที่ถูกยึดครองของปาเลสไตน์และทางตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งทำให้รัฐเถื่อนไซออนิสต์ไร้ความสามารถ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ลักษณะพิเศษของอิสลามทางการเมือง ในการเผชิญหน้ากับเหล่าปีศาจที่ชั่วร้าย มีการอิจฉาริษยา ไม่รักษาคำมั่นสัญญา การโกหก คือ การสร้างศัตรู โดยท่านกล่าวว่า “การรู้จักศัตรู ทำให้เกิดแรงจูงใจในการป้องกันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และในการรู้จักฝ่ายตรงกันข้าม ก็จะไม่ทำให้เรามีความผิดพลาด เพราะว่าหนึ่งในปัญหาที่เราเคยเผชิญมาแล้วและไม่ควรกระทำซ้ำอีก คือ ความผิดพลาดในการรู้จักศัตรู ด้วยเหตุนี้เอง ดังที่ท่านอิมามโคมัยนี ผู้ทรงเกียรติ กล่าวด้วยการมีวิสัยทัศน์อันชัดแจ้งว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราจะต้องตะโกนเพื่อต่อต้านอเมริกา”
ในช่วงสุดท้ายของการปราศรัยของท่าน อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอีได้ให้คำแนะนำทั่วไปที่สำคัญบางประการ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นย้ำถึงความก้าวหน้าที่มากมายและขีดความสามารถต่างๆและผลงานที่ดีหลังจากการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านเน้นย้ำว่า เราควรรู้ถึงคุณค่าและความสำคัญของความก้าวหน้าต่างๆ แต่ไม่ควรทะนงตัวเป็นอันขาด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า นโยบายเชิงกลยุทธ์ของชาติตะวันตกในการก่อวิกฤตในอิหร่าน เป็นนโยบายอย่างต่อเนื่อง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พวกเหล่านี้ต่างมองหาโอกาสในการก่อวิกฤตในประเทศมาโดยตลอด โดยวันหนึ่งใช้ข้ออ้างในประเด็นการเลือกตั้ง อีกวันหนึ่งใช้ข้ออ้างประเด็นน้ำมัน และในอีกวันหนึ่งใช้ข้ออ้างเรื่องสตรี แน่นอนว่า ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือเหล่านี้ที่ก่อวิกฤตมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นอีกด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายหลักของศัตรูในการก่อวิกฤตเพื่อทำลายความมั่นคงของประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “หากไม่มีความมั่นคง ก็ไม่มีเศรษฐกิจ การสร้างงาน งานโครงสร้างพื้นฐาน การตั้งโรงงาน วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย และศูนย์การวิจัย ด้วยเหตุนี้เอง เป้าหมายหลักของพวกเหล่านี้ คือ การทำลายความมั่นคงของประเทศและการทำลายการดำเนินชีวิตของผู้คน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หน่วยงานสายลับซีไอเอ CIA มอสสาด Mossad และ MI6 ของอังกฤษ เป็นปัจจัยหลักที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบและการก่อวิกฤต โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า พวกเหล่านี้ ได้ใช้องค์ประกอบภายในและภายนอกและองค์ประกอบที่คลั่งไคล้ตะวันตกและไม่มีความใส่ใจใดๆทั้งสิ้น แต่ทว่า รากเหง้าและแกนหลัก คือ หน่วยสอดแนมนั่นเอง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เน้นย้ำให้เห็นว่า เราต้องเข้าใจหน้าที่ความรับผิดชอบของเราที่มีต่อแผนการร้ายของศัตรู โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “หน้าที่ความรับผิดชอบของพวกเราในวันนี้ คือ การดูแลการปฏิวัติอย่างต่อเนื่อง หน้าที่ๆสำคัญของเราในวันนี้ คือ ความสามัคคีในชาติ การมีส่วนร่วมของประชาชน และการช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นที่อ่อนแอ หน้าที่ในวันนี้ คือ การทำงานในรูปแบบญิฮาดีตลอด 24 ชั่วโมงและการไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อยของเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงการก้าวผ่านของประเทศบนเส้นทางที่ยากลำบากสู่จุดสุดยอด โดยท่านกล่าวว่า “เราได้ก้าวข้ามเส้นทางส่วนใหญ่ แม้ว่าจะมีความลาดชันก็ตามและเข้าใกล้จุดสุดยอดแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง วันนี้ จึงไม่ใช่วันที่เหน็ดเหนื่อยและสิ้นหวัง แต่เป็นวันแห่งความสุข ความหวัง และการขับเคลื่อน และบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ ควรขับเคลื่อนด้วยจิตวิญญาณนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์เหล่าเจ้าหน้าที่ว่า “เราไม่ได้บอกว่าไม่ควรมีการวิพากษ์วิจารณ์ แต่การแสดงความคิดเห็นควรควบคู่ไปกับความไว้วางใจต่อบรรดาเจ้าหน้าที่ เพราะว่า พวกเขาปฏิบัติงานด้วยความกระตือรือร้น ความสามารถ ความไว้วางใจต่อพระเจ้าและด้วยขีดความสามารถทั้งหมดของพวกเขา”
ในช่วงท้าย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำว่า “หากว่า เราดำเนินตามเส้นทางที่เราดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน ชัยชนะเหนือศัตรูนั้นย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ ฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน ศอดิกี ตัวแทนของวะลียุลฟะกีฮ์ประจำกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า การปกป้องครอบคลุมถึงทุกพื้นที่ของการปฏิวัติอิสลาม และอธิบายว่า หน่วยงานของการปฏิวัตินี้ ยืนหยัดและจะยืนหยัดต่อต้านแผนการสมรู้ร่วมคิดและการโจมตีของเหล่าศัตรูที่มีต่อประชาชาติอิหร่าน
พลเอก ซะลามี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวระลึกถึงการพบปะครั้งสุดท้ายของเหล่าผู้บัญชาการกับท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งก็คือในปี 1398 (ปฏิทินอิหร่าน) และมีชะฮีด นายพลฮัจญ์ กอเซ็ม สุไลมานี ร่วมอยู่ด้วย และกล่าวถึงความล้มเหลวของกลยุทธ์ทั้งหมดของศัตรูในภูมิศาสตร์ของโลกอิสลามที่มีต่อความพยายามของชะฮีด ผู้สูงส่งนี้ และเหล่ามิตรสหายของเขา โดยเน้นย้ำถึงศัตรู กล่าวว่า “จะล้างแค้นด้วยเลือดของบรรดาชะฮีด และจะขับไล่อเมริกาให้ออกไปจากภูมิภาคนี้อย่างแน่นอน”
นายพลซะลามี ยังได้อธิบายถึงมิติต่างๆของศักยภาพและผลงานของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ในด้านการทหาร ความมั่นคง ข่าวกรอง วิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจ การก่อสร้าง สุขภาพ การให้บริการ การประชาสัมพันธ์ และการสร้างความหวัง
แหล่งที่มา
https://www.leader.ir/th/content/26647/
No Result
View All Result