ไบเดน ประกาศชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่สองอย่างเป็นทางการ
โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศว่า เขาจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองที่การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปี 2024
ในวิดีโอแคมเปญใหม่ที่เพิ่งจะเผยแพร่ออกมาไม่กี่ชั่วโมงก่อน ที่ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า เมื่อสี่ปีก่อนเขาเคยบอกไว้ว่า เรากำลังอยู่ในสังเวียนการต่อสู้เพื่อฟื้นคืนจิตวิญญาณของชาวอเมริกัน แต่หลายปีที่ผ่านมาสหรัฐฯ เผชิญกับความท้าทายมากมาย และงานของเขายังไม่เสร็จสิ้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมไบเดนจึงตัดสินใจลงเลือกตั้งชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีอีกครั้ง คำประกาศนี้มีขึ้นเพียงไม่กี่เดือน
ย้อนไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไบเดนเพิ่งจะระบุว่า ยังไม่พร้อมสำหรับการตัดสินใจว่าจะลงสมัครเลือกตั้งในสมัยที่สองหรือไม่
ในเวลานั้นผลสำรวจจากสำนักข่าว ABC News และ The Washington Post ชี้ว่า ร้อยละ 58 ของสมาชิกพรรคเดโมแครตต้องการผู้สมัครคนอื่นมากกว่าในการเป็นตัวแทนพรรคสู้กับโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันที่ประกาศลงเลือกตั้งในสมัยที่สองเช่นกัน จึงต้องติดตามกันต่อว่าทั้งไบเดนและทรัมป์จะได้เป็นตัวแทนของพรรค และจะได้ต่อสู้กันอีกครั้งแบบสังเวียนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เคยเกิดขึ้นในปี 2020 หรือไม่
ปัจจุบันประธานาธิบดีไบเดนอายุ 80 ปีแล้ว หากเขาลงเลือกตั้งครั้งใหม่และชนะได้เป็นประธานาธิบดีในสมัยที่สอง ในวันที่สาบานเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคมปี 2025 เขาจะมีอายุ 82 ปี และถือเป็นผู้นำประเทศที่มีอายุมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
อายุที่มากส่งผลให้หลายฝ่ายไม่ต้องการให้ผู้นำวัยชราสู้ศึกเลือกตั้งอีกครั้ง และแม้แต่สมาชิกพรรคเดโมแครตเองก็อาจจะไม่ต้องการให้เขาเป็นตัวแทนของพรรค
ทั้งนี้ การประกาศลงชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2024 ของประธานาธิบโจ ไบเดน เกิดขึ้นท่ามกลางคำถามที่ว่าคะแนนนิยมของประธานาธิบดีไบเดนยังได้รับความนิยมมากกว่าอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์คู่แข่งจากรีพับริกันหรือไม่
สำหรับคำตอบจากประธานาธิบดีไบเดน เขาเคยพูดเรื่องนี้ไว้กับสื่ออย่างมั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะทรัมป์ได้แน่นอน
อย่างไรก็ดี ความเชื่อของผู้นำสหรัฐฯ สวนทางกับความเชื่อมั่นของสมาชิกในพรรคเดโมแครตเองที่เชื่อว่าไบเดนอาจสามารถรับมือผู้สมัครอย่างทรัมป์ได้ แต่ไม่น่าจะสามารถ รับมือกับผู้แทนจากรีพับริกันคนอื่นได้ในการศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในปีหน้า
สำนักข่าว CNN อ้างว่า ชนชั้นนำบางคนจากพรรคเดโมแครตให้สัมภาษณ์แบบส่วนตัวว่า พวกเขารู้สึกกังวลกับการลงชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีของไบเดน เพราะจะทำให้พรรคหาเสียงยากขึ้นในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2024 และฝั่งรีพับริกันอาจส่งผู้สมัครที่อายุน้อยมาเป็นตัวเลือกให้ชาวอเมริกัน
การรายงานเรื่องความกังวลของสมาชิกจากพรรคเดโมแครตที่มีต่อประธานาธิบดีไบเดนของสำนักข่าว CNN สอดคล้องกับผลสำรวจของสำนักข่าว NBC news ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา
โพลดังกล่าวเผยให้เห็นว่าสมาชิกพรรรคเดโมแครตกว่าร้อยละ 51 ไม่ต้องการให้ไบเดนลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปีหน้า ขณะที่ประชาชนชาวอเมริกันกว่าร้อยละ 70 ก็ มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับสมาชิกพรรคเดโมแครต
ปัจจัยสำคัญที่ทั้งสมาชิกพรรรคเดโมแครตและชาวอเมริกันไม่สนับสนุนโจ ไบเดน คือ อายุที่มากแม้ความคิดเห็นจากทั้งสองสำนักข่าวจะชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าทั้งประชาชนและสมาชิกพรรคต้นสังกัดไม่สนับสนุนไบเดน แต่ก็ไม่ได้มีใครออกมาคัดค้านเรื่องนี้อย่างจริงจัง
อย่างไรก็ดี ปัญหาเรื่องอายุไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่ประธานาธิบดีไบเดน แต่เกิดขึ้นกับอดีต ประธานาธิบดีทรัมป์จากพรรครีพับริกันด้วย เพราะผลสำรวจของ NBC news ชี้ว่าชาวอเมริกันกว่าร้อยละ 60 ไม่ต้องการให้เขาลงชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดี
แม้ว่าชาวอเมริกันจะไม่ต้องการให้ทรัมป์ลงเลือกตั้งในสมัยหน้า แต่ผลสำรวจจาก NBC ชี้ให้เห็นว่าสมาชิกพรรครีพับลิกันราวร้อยละ 46 ยังคงสนับสนุนทรัมป์เช่นเดิม ขณะที่อีกร้อยละ 31 สนับสนุนรอน ดีซานทิสผู้ว่าการจากรัฐฟลอริดา
หลายฝ่ายมองว่ามีความเป็นไปได้ที่โดนัลด์ ทรัมป์และโจ ไบเดน อาจต้องมาแข่งขันกันอีกครั้งในการเลือกตั้งปี 2024
ผลสำรวจล่าสุดจาก Wall Street Journal เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมาระบุว่าคะแนนความนิยมของประธานาธิบดีไบเดนยังคงสูงกว่าคะแนนของโดนัลด์ทรัมป์ที่ร้อยละ 48 ต่อ 45 หรือ ประธานาธิบดีไบเดนยังคงมีคะแนนนำอยู่ที่ร้อยละ 3
ขณะเดียวกันผลการสำรวจจาก Wall Street Journal ยังได้เปรียบเทียบคะแนนความ นิยมระหว่างประธานาธิบดีไบเดนกับรอน ดีซานทิสผู้ว่าการจากรัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นตัว เต็งอันดับ 2 ที่พรรครีพับลิกันอาจส่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแทนโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ผลสำรวจก็ระบุว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนยังคงได้รับความนิยมมากกว่าผู้ว่าการรัฐ ฟลอริดา อยู่ที่ร้อยละ 48 ต่อ 45
ในมุมของนักวิเคราะห์อย่าง สตีเฟน ออสตาร์ด ศาสตราจารย์ด้านการวิจัยในประเด็นสูงวัยอย่งามีคุณภาพ จากมหาวิทยาลัยอลาบามา ชี้ว่า ผู้คนไม่ควรด้อยค่าผู้สูงอายุมากเกินไป เพราะคนที่อายุมากกกว่า 80 ปีในปัจจุบันไม่เหมือนกับคนอายุ 80 ปี เมื่อช่วง 50 ปีก่อน การที่ประธานาธิบดีไบเดนประกาศลงสังเวียนอีกครั้งสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านการแพทย์และเทคโนโลยีในปัจจุบันที่ช่วยให้ผู้คนสุขภาพดีและมีอายุยืนยาวขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเข้าใจมุมมองของหลายฝ่าย เนื่องจากนับตั้งแต่เข้าสู่ตำแหน่ง ไบเดนได้แสดงออกซึ่งสัญญาณของสุขภาพที่ถดถอยบางประการ อย่าง การเดินสะดุด หรือพูดจาวกวนออกนอกสคริปต์ สัญญาณเหล่านี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากพรรครีพับลิกัน รวมถึงอดีตประธานาธิบดีทรัมป์
แต่กระนั้นในภาพรวมเขายังเชื่อว่าไบเดนจะทำได้ อีกทั้งยกตัวอย่างของอดีตประธานาธิบดีคนก่อนๆ ว่า หลังหมดวาระแล้วหลายคนก็อายุยืนมากกว่าที่คิด
ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไบเดนประสบความสำเร็จในการดำเนินนโยบายหลายข้อ ขณะที่พรรคเดโมเครตของเขาก็ยังคงครองเสียงข้างมากในสภาได้ ความท้าทายก็คือ รัฐบาลของเขาเริ่มงานในช่วงการระบาดของโควิด-19 ไบเดนมอบความช่วยเหลือทางการเงินแก่ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด
นอกจากนี้ ไบเดนยังประสบความสำเร็จในการผลักดันกฎหมายความปลอดภัยอาวุธปืนซึ่งจะเพิ่มความเข้มงวดในการครอบครองปืนมากที่สุดเท่าที่สหรัฐฯ เคยมีในรอบ 30 ปี ความสำเร็จยังรวมถึง กฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดต้นทุนด้านยารักษาโรคให้กับผู้ บริโภคในประเทศ
ขณะเดียวกัน แม้ว่าอัตราการว่างงานในสมัยรัฐบาลไบเดนจะอยู่ระดับต่ำสุดในรอบ 54 ปี แต่ขณะนี้สหรัฐฯ ยังต้องกัดฟันสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าครองชีพในประเทศเพิ่มขึ้นตาม
ในเวทีระหว่างประเทศ ไบเดน ถือเป็นผู้นำในการรวบรวมพันธมิตรทั่วโลกให้มาสนับสนุนยูเครนเพื่อตอบโต้การรุกรานของรัสเซีย ขณะเดียวกันไบเดนยังพยายามเสริมความแข็งแกร่งในด้านการป้องกันของสหรัฐฯ เพื่อต่อกรกับจีนที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ และอำนาจทางทหารเพิ่มขึ้น