จตุพร ประเมินโพลด้วยหลักวิทยาศาสตร์การเมือง มั่นใจเพื่อไทยประกาศคำโต 310 เสียงเป็นไปไม่ได้ เชื่ออย่างเก่งได้ใกล้เคียง 250 เสียง ขาดอีกร่วมร้อยไปปิดสวิตซ์ ส.ว. หนุนโหวตนายกฯ คาด “ทักษิณ” ตัวแปร ชี้ยิ่งพูดยิ่งฉุดเสียง ยิ่งดัน“ประยุทธ์”ฟื้น กังขาสปิซ“เศรษฐา” ก่อจินตนาการนำสู่เกมทำลายล้างครั้งใหม่
Burapanews รายงานว่า เมื่อ 19 มี.ค. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “เป็นไปไม่ได้” โดยตอกย้ำถึงนิด้าโพลสำรวจความนิยมทางการเมือง ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้เสียงนำเป็นอันดับหนึ่ง หากแปรกลับเป็นคะแนนแล้วอยู่ในระดับ 250 เสียง ยังห่างไกลกับ เสียงแลนด์สไลด์ 310 เสียง ดังนั้นการประกาศตั้งรัฐบาลพรรคเดียวจึงยากที่จะเป็นไปได้เมื่ออธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์การเมือง
นายจตุพร กล่าวถึงนิด้าโพลสำรวจความนิยมเลือกอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกฯ อันดับหนึ่งว่า ถ้าคำนวณเสียงตามโพลแล้ว เพื่อไทยจะได้ ส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อใกล้เคียง 250 เสียง ซึ่งยังห่างไกลเป้าหมาย 310 เสียงมาก ดังนั้นจึงต้องหาอีกประมาณ 60 เสียงจึงมาเติมได้ตามต้องการแลนด์สไลด์ 310 เสียง แล้วยังต้องหาอีก 66 เสียงเพื่อไปปิดสวิตซ์ ส.ว. และโหวตผ่านได้ไปเป็นนายกฯ 376 เสียง
อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินตามโพลเบื้องต้นแล้ว หากเพื่อไทยลากเสียงให้ได้จำนวนมากขึ้นไปอีก โอกาสพรรคก้าวไกลและไทยสร้างไทยจะสูญหาย หรือแทบไม่ได้รับเลือกตั้งเลย ซึ่งการสร้างตลาดการเมืองของเพื่อไทยถนัดเล่นอย่างชำนาญการมาก แต่ในโลกความจริงยังย้อนแย้งกับคำประกาศในตลาดการเมืองที่หาเสียงไว้โดยสิ้นเชิง
อีกทั้ง เห็นว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่มีประเพณีให้เสียงอันดับหนึ่งได้ตั้งรัฐบาล แต่จะยึดหลักการรวบร่วมเสียงให้ได้มากเกิน 376 เสียงก็ตั้งรัฐบาลได้ เพราะกติกาเสียงมากที่สุดตั้งรัฐบาลก่อนนั้น ถูกทำลายลงไปแล้วตั้งแต่การตั้งรัฐบาลเมื่อปี 2562
นายจตุพร ประเมินว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่มีลูกเล่นทางการเมืองน่าสนใจ แม้เพื่อไทยพยายามปัดมือไม่ให้ร่วมรัฐบาล แต่ก้าวไกลยังนิ่งไม่ประกาศหรือยอมรับจะร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทยเช่นกัน ขณะเดียวกันก็พยายามเดินเคียงคู่เป็นพวกเพื่อไทยไปทุกย่างก้าวในตลาดการเมือง จึงทำให้เพื่อไทยกระอักกระอ่วนกับความแตกต่างของจุดยืนทางการเมืองอย่างพรรคก้าวไกล
“กลยุทธ์ก้าวไกลเดินตีคู่เพื่อไทย ทำให้เพื่อไทยอึดอัดที่สุด เมื่อเพื่อไทยไม่ประกาศเป็นทางการหรือต่อหน้าว่าไม่จับมือร่วมกับก้าวไกล อีกทั้งหากวันใดเพื่อไทยรำคาญประกาศตรงๆว่าไม่จับมือก้าวไกลแล้ว วันนั้นเสียงก้าวไกลจะมาแรงแน่นอน สิ่งนี้เป็นเกมแบบเซียนการเมืองของก้าวไกลเช่นกัน เพราะการหาเสียงเสียดสี ทิ่มแทงจุดยื่นเพื่อไทยได้น่าตื่นตายิ่ง”
รวมทั้ง ประเมินพรรคไทยสร้างไทยว่า คงวางยุทธศาสตร์สู้ในพื้นที่เป้าหมายที่มีโอกาสได้รับเลือกมากที่สุด แต่การต่อสู้นั้นเพื่อไทยย่อมไม่สบายใจเช่นกัน ยิ่งเพื่อไทยประกาศไม่มีพี่ไม่น้องก็ตาม แต่ไทยสร้างไทยกลับนิ่ง ไม่ประกาศกลับเท่ากับเป็นการแสดงความเหนือกว่าเพื่อไทยในตลาดการเมือง
ขณะที่เสียง พล.อ.ประยุทธ์ ที่ติดโพลมาตลอดนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เป็นเพราะมีหัวคะแนนสำคัญ คือ ทักษิณ ชินวัตร ถ้าทักษิณ ปรากฎตัวมากเท่าไรก็จะปลุกเสียง พล.อ.ประยุทธ์ มากเท่านั้น เนื่องจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนเดียวที่จะหยุดทักษิณได้ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงรอลุ้นให้ทักษิณออกมาทุกวันอังคาร
“ชนชั้นกลางฝ่ายอนุรักษ์นิยมนั้น ถ้าเห็นว่า ทักษิณ จะมีภาพชัดขึ้นในการเมืองแล้ว เสียงจะเทมาที่ พล.อ.ประยุทธ์ โดยปรากฎการนี้สะท้อนมาจากปี 2562 ซึ่งก่อนเลือกตั้ง เกิดมีภาพหนึ่งปรากฎในงานแต่งงานที่ฮ่องกง จนทำให้พลังประชารัฐและอนาคตใหม่ (ก้าวไกล) ได้ประโยชน์อย่างมาก แต่ที่กระทบคือ เพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ เสียงจึงหายไปอย่างมาก”
พร้อมทั้งกล่าวถึง พรรคภูมิใจไทยหรือนายอนุทิน ชาญวีรกูล ตามโพลยังมีเสียงท้ายๆ ไม่ติดอันดับต้นๆ ทั้งที่เสียงของพรรคนี้จะเหนือกว่าทุกพรรคร่วมรัฐบาล แต่เป็นพรรคที่มีระเบียบสูงในพรรค สำหรับพลังประชารัฐ เสียงยังไม่พรวดขึ้นมาตามกระแสที่พยายามจุดด้วยจดหมายหลายฉบับและลงพื้นที่ต่างจังหวัดถี่ยิบ
นายจตุพร กล่าวถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า การหาเสียงครั้งนี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ไม่ได้แข่งขันให้ชนะขาดเหนือทุกพรรค แต่วางแผนสู้เพื่อเอาตัวรอดในสนามการเมือง ราวกับสู้สิบคนเพื่อชนะหนึ่งคนถือว่าจะสำเร็จง่าย เพราะสามารถรักษาระดับเสียงเท่าเดิมคือ 52 เสียงไว้ได้ และถ้าทำได้ตามแผนแล้ว ก็จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ยิ่งเป็นความสำเร็จทางการเมืองในยุคของนายจุรินทร์อีกด้วย
พร้อมทั้ง คาดการเลือกตั้งในปี 2566 ว่า เป็นช่วงการเลือกตั้งที่ทักษิณ ประกาศจะกลับบ้านอย่างจริงจัง แล้วจะออกมาปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า ที่พูดไว้จะกลับบ้าน ก็จะไม่กลับแล้ว ซึ่งพูดไม่ได้ ดังนั้น การกลับบ้านของทักษิณ หากสังเกตุแล้ว เพื่อไทยประเมินว่า เป็นการเพลี่ยงพล้ำแล้ว จึงไม่พูดถึงทักษิณ กลับบ้านอีกเลย
“แต่เศรษฐา ทวีสิน สปิซถึงผู้นำไร้หัวใจไล่คนออกนอกประเทศ เพียงไม่เชื่อฟังโอวาท จึงเป็นสปิซแบบน้ำกรดแช่เย็น เพราะการพูดถูกตีความเป็นอีกอย่างหนึ่ง ยิ่งใช้คำว่า โอวาทและไล่ออกนอกประเทศ ซึ่งไม่มีคนไทยคนไหนถูกไล่ออกนอกประเทศเลย มีแต่ออกเองทั้งนั้น แต่การอธิบายกลับไปเน้นที่อยู่ไม่ได้เพราะไม่เชื่อฟังโอวาท แล้วพล.อ.ประยุทธ์ เรียกโอวาทหรือ?”
นายจตุพร ย้ำอีกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทักษิณ ออกนอกประเทศก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้ามาเป็นนายกฯ แต่ไปวันที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ ดังนั้น การพูดของเศรษฐา จึงเหมือนผีเจาะปาก เป็นการพูดจากบทพูดนั้น เท่ากับเตรียมตัวมาพูด แต่การใช้คำพูดกลับไปสร้างจินตนาการให้เกิดขึ้นตามมา แล้วยังจะนำไปสร้างเสียงให้ พล.อ.ประยุทธ์ ฟื้นกลับมาได้อีกด้วย
“ถ้าทักษิณ ไม่ปรากฎตัวเลย พล.อ.ประยุทธ์ จะเหนื่อยที่สุด หากทักษิณ ออกมาถี่ทุกวันอังคารแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะลุ้นมากที่สุด คงมีแต่ทักษิณ เท่านั้นจะมาช่วยพลิกสถานการณ์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯต่อไป ถ้าไม่มีทักษิณ ก็ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ สำหรับทักษิณ เป็นคนที่อดทนต่อสถานการณ์ใดๆไม่ได้ ก็จะออกมาอยู่ดี”
อีกทั้งย้ำว่า โพลที่สำรวจมานั้น ยังห่างจาก 310 เสียงอยู่ดี และยังไม่เจอการตรวจสอบขององค์กรอิสระ ยิ่งการชี้แจงบัญชีทรัพย์สินของแกนนำเกี่ยวกับการครอบครองที่ดิน สปก. ด้วยแล้ว เสียงยิ่งจะตกลงมาอีก นอกจากนี้ยังไม่นับกลไกการยุบพรรคของ กกต.ด้วย หากยุบหลังสมัครเลือกตั้งแล้ว คะแนนเสียงก็จะเทไปให้อีกพรรคก็ไม่เกิดประโยชน์
อย่างไรก็ตาม หากยุบหลังเลือกตั้ง จะลามไปถึงการแสดงท่าทีในการจับมือร่วมรัฐบาล ซึ่งจะเกิดความเสื่อมของเพื่อไทย ดังนั้น ในทางการเมืองมีนักการเมืองส่วนน้อยที่ไม่มีแผลใดๆ แต่ส่วนใหญ่เต็มด้วยแผลทั้งนั้น เมื่อถูกยุบพรรคมาซ้ำเติมแล้ว วงแตกทันที
“แกนนำจะเกิดการรวบรวม ส.ส.นำไปต่อรองเก้าอี้กันสนุก จึงเป็นการแตกกระจัดกระจายท่ามกลางความเสื่ออย่างย่อยยับ ดังนั้น ผู้รู้การเมืองทั้งหลายมักออกแบบการเมืองในสิ่งที่เห็นแววข้างหน้า ส่วนเวลานี้ก็หาความสุขกันไป จะปั่นอย่างไรก็ตาม ก็ดีใจตามความนิยมกันไป”
นายจตุพร กล่าวว่า การประเมินการเมืองนั้น มุ่งให้ประชาชนได้มองเห็นหน้ากระดานการเมืองอย่างครบถ้วน และมีความหวังว่า สิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั้น ถ้าประชาชนเห็นภัยจากค่าไฟฟ้า ที่ดิน แร่ พลังงาน และอื่นๆที่เป็นผลประโยชน์ชาตินั้น จึงหวังให้คิดจนเห็นภาพเดียวกัน เพราะกระดานการเมืองต่อไปนี้อย่ากระพริบตา เพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ แต่สิ่งที่ใช่อาจจะไม่เห็นก็ได้
ประเทศไทยต้องมาก่อน
ที่มา เพจประชาชนคนไทย(ปท.)