คณะผู้บัญชาการกองทัพอากาศ พร้อมบรรดาเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศหลายร้อยนาย เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี
Burapanews สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า คณะผู้บัญชาการกองทัพอากาศ พร้อมบรรดาเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศหลายร้อยนาย เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดทุกเหล่าทัพ ซึ่งประจวบเหมาะกับวันที่ 19 เดือนบาห์มัน ปี1357 (ปฏิทินอิหร่าน) และตรงกับวันแห่งการให้สัตยาบันทางประวัติศาสตร์ต่อท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ของคณะผู้บัญชาการของกองทัพอากาศจำนวนหนึ่ง
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวในการพบปะกันครั้งนี้ ด้วยการเทอดเกียรติต่อกองทัพแห่งศรัทธาของนักการปฏิวัติอิสลามที่สร้างเกียรติและศักดิ์ศรีและเป็นที่รักของประชาชน ทั้งยังสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่และน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง โดยท่านถือว่า เหตุการณ์ในวันที่ 19 เดือนบะห์มัน ปี1357 เป็นปัจจัยที่สำคัญและก่อให้เกิดคลื่นมหาชนแห่งชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามในวันที่ 22 เดือนบะห์มันในปีนั้น และยังเป็นการบุกเบิกและสร้างขวัญกำลังใจให้อีกด้วยในวันที่ 22 เดือนบะห์มันในปีต่างๆ หลังจากการปฏิวัติอิสลาม และท่านผู้นำยังได้กล่าวอธิบายถึงเป้าหมายหลักของศัตรูที่จะทำให้สาธารณรัฐอิสลามต้องยอมจำนนและการบ่อนทำลายด้วยการสร้างความแตกแยกและการไม่ไว้วางใจ โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “หน้าที่ๆสำคัญที่สุดในการเผชิญหน้ากับแผนการชั่วร้ายนี้ คือ การรักษากลยุทธ์แห่งเอกภาพและด้วยเตาฟีก (ความสำเร็จ) ของพระผู้เป็นเจ้า ในวันที่ 22 เดือนบะห์มันของปีนี้ จะเป็นการสำแดงความสามัคคีและความไว้วางใจที่มีต่อชาติ และประชาชนก็จะส่งสารที่ชัดเจนนี้ไปยังเหล่าผู้ที่ประสงค์ร้ายทุกคนว่า ความพยายามของพวกเหล่านั้นในการสร้างความไม่ไว้วางใจและการบ่อนทำลายความสามัคคีของชาติ จะไม่สัมฤทธิ์ผลอย่างแน่นอน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เหตุการณ์ในวันที่ 19 เดือนบะห์มัน เป็นปฐมบทที่มีประสิทธิภาพและการสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนสำหรับวันที่ 22 เดือนบะห์มัน และยังแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และเกียรติยศของประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “วันที่ 22 เดือนบะห์มัน คือจุดสูงสุดของการเคลื่อนไหวอันน่าภาคภูมิใจของประชาชาติอิหร่านและเป็นการรำลึกถึงวันแห่งความรุ่งโรจน์ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของประชาชาติอิหร่านที่ประชาชนต่างได้สร้างเกียรติ ศักดิ์ศรี ความยิ่งใหญ่ และการมีอำนาจให้เกิดขึ้นในวันนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า วันที่ 22 เดือนบะห์มัน จะยังคงอยู่ต่อไปในอนาคต เช่นเดียวกับที่ยังคงรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การปฏิวัติที่มีชีวิตชีวา คือการปฏิวัติที่รักษาขนบประเพณีของตนให้คงอยู่ และการรู้จักถึงความต้องการและอันตรายต่างๆที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในทุกยุคสมัย ด้วยการแก้ปัญหาความต้องการเหล่านั้นและการกำจัดอันตรายต่างๆ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความล้มเหลวหรือการกลับมาอีกครั้งของระบอบเผด็จการที่แข็งกร้าวและขมขื่นในการปฏิวัติครั้งใหญ่ของโลก เช่น การปฏิวัติในฝรั่งเศสและในสหภาพโซเวียต เป็นการเพิกเฉยต่อความต้องการและอันตรายต่างๆ ตลอดจนการสาละวนกับปัญหาและข้อพิพาทส่วนตัว โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การปฏิวัติอิสลาม ได้ปกป้องตัวเองให้พ้นจากภัยพิบัติเหล่านี้ แน่นอนว่า เราเองนั้นก็มีปัญหาต่างๆเช่นกัน ทั้งความเพียรพยายามและการวินิจฉัยที่ไม่เหมือนกันในรัฐบาลต่างๆ แต่ทว่ามีการขับเคลื่อนโดยทั่วไป ถือเป็นการขับเคลื่อนที่นำไปสู่จุดสูงสุด ทั้งความก้าวหน้าทางวัตถุและทางจิตวิญญาณ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า การมีนวัตกรรมใหม่ ความก้าวหน้า และตรรกะที่แข็งแกร่งของประชาชาติอิหร่านในเวทีด้านต่างๆมากมาย ซึ่งถือว่า การเข้าร่วมของบรรดาเยาวชนที่โดดเด่นของทศวรรษที่ 80 ในพิธีการอิอ์ติกาฟของปีนี้ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการเติบโตของชาติ โดยท่านกล่าวว่า “พวกท่านทั้งหลายเห็นแล้วใช่มั้ยว่า พวกเหล่านั้นต่างได้กุเรื่องตลกที่ไร้สาระเกี่ยวกับเยาวชนของทศวรรษที่ 80 แต่ทว่า ตามสถิติและการรายงานต่างๆระบุว่า มีผู้เข้าร่วมในพิธีอิอ์ติกาฟจำนวนมากที่เป็นเยาวชนในทศวรรษที่ 80”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความจำเป็นสำหรับการให้ชีวิตและการมีพลวัตของการปฏิวัติอิสลาม คือ การให้ความสนใจในการตอบสนองต่อความต้องการต่างๆ โดยท่านได้ชี้และเน้นย้ำให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับความต้องการขั้นพื้นฐานและที่สำคัญ กล่าวคือ ความสามัคคีของชาติ โดยท่านกล่าวว่า “ความสามัคคีของชาตินั้นมีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างมากในชัยชนะและความก้าวหน้าของการปฏิวัติอิสลาม และเป็นอุปสรรคและเป็นกำแพงที่แข็งแกร่งในการต่อสู้กับศัตรู ซึ่งความสามัคคีนี้ ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากที่สุดในวันนี้อีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า แผนการร้ายและเป้าหมายที่ชัดเจนของศัตรูในการต่อต้านรัฐอิสลาม คือ การทำให้สาธารณรัฐอิสลามต้องยอมจำนน โดยท่านกล่าวว่า “แน่นอนว่า พวกเหล่านั้นตรงกันข้ามกับเมื่อประมาณ 15 ปีที่ผ่านมา ที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในยุคสมัยนั้นได้เขียนจดหมายถึงข้าพเจ้าอย่างชัดเจน โดยระบุว่า เราไม่ได้มีเจตนาที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของท่าน แต่ในเวลานั้นเอง เราเองก็ได้รับรายงานเหมือนกันว่า พวกเหล่านั้นกำลังวางแผนที่จะทำลายสาธารณรัฐอิสลาม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้อธิบายถึงเหตุผลสำหรับความพยายามของเหล่าผู้ประสงค์ร้ายที่จะทำลายสาธารณรัฐอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “สาธารณรัฐอิสลาม ได้ทำให้ภูมิภาคที่สำคัญทางยุทธศาสตร์และเต็มไปประโยชน์นี้ หลุดพ้นออกจากเงื้อมมือของพวกเหล่านั้น นอกจากนี้ ยังได้เรียกร้องให้มีเอกราชและไม่จ่ายค่าไถ่ โดยที่ไม่ใช่เฉพาะกับประเด็นทางการเมืองเท่านั้น แต่นี่คือประเด็นทางด้านความเชื่อทางศาสนานั่นเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “บางประเทศ อาจมีความต้องการนโยบายความเป็นเอกราชจากสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน แต่ทว่านโยบายนี้ จะถูกแทนที่ด้วยการค้าขาย การเจรจา การนั่งโต๊ะเจรจา และอาจจะเป็นการจ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับผู้ที่มีอำนาจ ดังที่พวกท่านเห็นในตัวอย่างต่างๆในโลก แต่เอกราชและการไม่จ่ายค่าไถ่ของสาธารณรัฐอิสลามนั้นขึ้นอยู่กับความศรัทธาและอัลกุรอานยังได้เน้นย้ำไว้ว่า อย่าได้ไว้ใจต่อเหล่าผู้อหังการและไม่สามารถที่จะซื้อขายได้และผู้ใดก็ตามที่มีความเต็มใจก้าวข้ามความเชื่อนี้ เขาจะสูญเสียคุณสมบัติความเหมาะสมในการทำงานในระบอบสาธารณรัฐอิสลามอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม หลังจากที่ได้อธิบายถึงเป้าหมายของศัตรู หมายถึง การยอมจำนนของสาธารณรัฐอิสลามและเหตุผลของความเป็นปฏิปักษ์ต่างๆ ด้วยการอธิบายเกี่ยวกับกลยุทธ์ของเป้าหมายเหล่านี้ โดยท่านกล่าวว่า “กลยุทธ์ของพวกเหล่านี้ คือ การสร้างความแตกแยก เพราะว่า ในสภาพเช่นนี้ จะทำให้ไม่มีความหวังในอนาคตอีกต่อไป”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “การมองโลกในแง่ร้าย ระหว่างกลุ่มการเมือง การไม่ไว้วางใจของประชาชนต่อกันและกันและต่อรัฐบาล การมีวิสัยทัศน์ที่ไม่ดีต่อองค์กรต่างๆ ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมายของเหล่าผู้ประสงค์ร้ายที่มีต่ออิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “แน่นอนว่า ความแตกต่างนั้นมีอยู่ แต่อย่าได้ทำให้กลายเป็นความแตกแยก เหมือนดังเช่นที่ได้มีการถกเถียงในประเด็นผู้หญิงและในบางครั้งมีข้อพิพาทเกี่ยวกับประเด็นชีอะฮ์และซุนนีและบางครั้งในประเด็นความแตกต่างระหว่างวัย เป็นต้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า กลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับการแพร่ขยายความแตกแยก คือ การสร้างเรื่องโกหกและการกระจายข่าวลือ โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “ขณะที่ศัตรูต่างพุ่งเป้าโจมตีไปยังเอกภาพของชาติ ก็จะต้องรักษาความสามัคคีและเอกภาพนี้และอย่าได้ปล่อยให้ความปรารถนาอันชั่วร้ายนี้ได้รับชัยชนะเป็นอันขาด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า วันที่ 22 เดือนบะห์มันของปีนี้ จะเป็นการสำแดงสัญลักษณ์ของความสามัคคีของชาติ โดยท่านกล่าวว่า “ด้วยเตาฟีก(ความสำเร็จ) ของพระผู้เป็นเจ้า จะทำให้วันที่ 22 เดือนบะฮ์มันของปีนี้ เป็นการสำแดงถึงการเข้าร่วม เกียรติยศ ความไว้วางใจของประชาชนต่อกันและกันและการสร้างความสามัคคีแห่งชาติอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “ข้าพเจ้า ขอให้คำแนะนำกับประชาชนที่ทรงเกียรติทุกคนว่า จะต้องพยายามเพื่อทำให้การเดินขบวนในวันที่ยิ่งใหญ่นี้และการขับเคลื่อนนี้ เป็นการสำแดงสัญลักษณ์ของความสามัคคีและความไว้วางใจที่มีต่อชาติ และจะต้องส่งสารที่ชัดเจนนี้ให้กับศัตรูที่พยายามจ้องทำลายความสามัคคีของชาติเห็นว่า จะไม่สัมฤทธิ์ผลอย่างแน่นอน และยังไม่สามารถแยกประชาชนออกจากกันและกันและออกจากรัฐอิสลามและสาธารณรัฐอิสลามได้ หรือการทำให้กลุ่มต่างๆของประชาชนก่อสงครามระหว่างกันอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า การมีความแตกต่างในวิสัยทัศน์และนโยบายนั้น ล้วนเป็นธรรมชาติทั้งสิ้น และถือว่าไม่มีปัญหาใดๆ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แต่ทว่า ความแตกต่างเหล่านี้ จะต้องไม่นำไปสู่การปะทะกัน การใส่ร้ายป้ายสีและการสร้างเรื่องโกหกต่อกันและกัน ในขณะที่ จากการเผชิญหน้ากับกลยุทธ์ของศัตรู เราทั้งหมด จะต้องใช้กลยุทธ์นี้เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่าน ถือว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 เดือนบะห์มัน ปี 1357 เป็นปฐมบทที่มีประสิทธิภาพและเป็นการสร้างคลื่นมหาชนในชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การเผยแพร่ภาพของการให้สัตยาบันของกองทัพอากาศต่อท่านอิมามโคมัยนี ผู้สูงส่ง ในช่วงเวลานั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลักในสถานการณ์ต่างๆ เพราะว่า เครื่องมือเดียวที่ทรราช ชาห์ปาห์ลาวี ผู้ต่ำต้อยและกดขี่ ใช้ในการปราบปรามประชาชน คือ กองทัพ แต่ทว่าประชาชนและนักการปฏิวัติอิสลามทั้งหลาย เมื่อเห็นว่า กองทัพมีทิศทางเดียวกันกับการปฏิวัติอิสลาม จึงมีขวัญกำลังใจและในทางตรงกันข้าม เหล่าผู้นำของทรราชและพวกสหรัฐที่คอยให้การสนับสนุนต่างได้พบกับความล้มเหลวทางจิตวิญญาณที่สำคัญแป็นอย่างยิ่ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สาส์นที่สำคัญที่สุดของวันที่ 19 เดือนบะห์มัน 1357 แสดงให้เห็นว่า มีองค์ประกอบร่วมกันระหว่างกองทัพกับอนาคตของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “การเข้าร่วมของกองทัพอากาศในมัดรอซะฮ์ (โรงเรียนสอนศาสนา) อะลาวี ซึ่งใน สถานที่แห่งนี้ มีประชาชนหลายแสนคนต่างเดินทางมาเพื่อให้สัตยาบันต่อท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) แสดงให้เห็นว่า กองทัพในอนาคตนั้น เป็นกองทัพของประชาชน นักการปฏิวัติ ผู้ศรัทธา และความเคร่งครัดต่อกฏระเบียบและมีความเสี่ยงในอันตราย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ความเสี่ยงในอันตรายของเยาวชนทั้งหลายของกองทัพในการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้รุกรานในวันนั้น กล่าวคือ พวกอเมริกาและกษัตริย์ชาห์ปาห์ลาวี ในขณะที่สถานการณ์ของชะตากรรมของการปฏิวัติอิสลามยังไม่ชัดเจนและจะดำเนินการต่อไปในอีกหลายปีต่อมาและกองทัพยังได้ปกป้องการปฏิวัติอิสลามจากการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้ละเมิดทั้งหมด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ภาพลักษณ์ของท่านอิมามโคมัยนี ในวันที่ 19 เดือนบะห์มัน เป็นภาพลักษณ์ที่สำแดงให้เห็นถึงพลังอำนาจ เกียรติยศ ความศรัทธาที่ไม่สั่นคลอน และความแข็งแกร่ง ดุจดั่งภูผาดะมาวันด์ และในขณะเดียวกัน พร้อมด้วยการมีมุมมองแห่งความเมตตาและความเป็นบิดาต่อเยาวชนทั้งหลายในกองทัพของระบอบกษัตริย์ชาห์ปาห์ลาวี โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “กองทัพได้ยืนเคียงข้างประชาชน และยังคงสภาพของการเป็นนักปฏิวัติ ซึ่งประเด็นการเป็นนักปฏิวัติ ถือเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่า บางคนที่เป็นนักปฏิวัติ แต่ไม่ได้คงสภาพของความเป็นนักปฏิวัติอยู่ต่อไป แต่ทว่า กองทัพของสาธารณรัฐอิสลามนั้นยังคงสภาพของความเป็นนักปฏิวัติอยู่ตราบจนถึงวันนี้ ที่ระดับนักปฏิวัติสูงเพิ่มขึ้น มีความศรัทธามากกว่า และมีความบริสุทธิ์ที่มากกว่าในช่วงวันแรกๆและเมื่อใดก็ตามที่มีความจำเป็น พวกเขาก็จะเข้าร่วมด้วยความกล้าหาญและการเสียสละอยู่เคียงข้างประชาชน รวมทั้งการยืนหยัดในการป้องกันประเทศอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เปรียบเทียบกองทัพในปัจจุบันกับกองทัพของยุคปาห์ลาวี แสดงให้เห็นว่า การปฏิวัติอิสลามนั้นมีอำนาจและขีดความสามารถสำหรับการบรรลุสู่ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ และท่านผู้นำได้อธิบายถึงตัวอย่างต่างๆ เช่น การทำลายกองทัพที่ทะเยอทะยานและเต็มไปด้วยข้ออ้างของเรซาข่าน ในหลายชั่วโมงต่อมา หลังจากการปะทะกันกับการโจมตีเมื่อเดือนชะฮ์เรวัร ปี 1320 หรือความร่วมมือของกองทัพมูฮัมหมัดเรซากับสายลับของอเมริกาและอังกฤษในวันที่ 28 เดือนมุรดาด ปี 1322 ในการต่อต้านรัฐบาลแห่งชาติและประชาชน โดยท่านกล่าวว่า “ในวันนั้น เป็นกองทัพที่ไร้อัตลักษณ์ ถูกกดขี่และอยู่ภายใต้แอกของพวกต่างชาติ ซึ่งนายทหารระดับนายพลไม่กล้าที่จะพูดต่อหน้ากับนายทหารนายหนึ่งของสหรัฐฯ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า กองทัพในปัจจุบัน เป็นสัญลักษณ์ของเอกราชและความแข็งแกร่ง เป็นที่ไว้วางใจและมีเกียรติของประชาชน และอยู่เคียงข้างประชาชนและเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา หากว่าในอดีตที่ผ่านมา แม้แต่การมีสิทธิในการครอบครองชิ้นส่วนของเครื่องบินที่ซื้อมาจากพวกสหรัฐ ยังไม่มีเลย แต่ทว่าในปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะถูกคว่ำบาตรอยู่ก็ตาม แต่พวกเขาก็เป็นผู้ผลิตเครื่องบินและมีผลงานที่น่าอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ และสร้างเกียรติและความภาคภูมิใจให้กับประชาชน ดังตัวอย่างของมันที่ได้แสดงเมื่อวานนี้ที่ผ่านมา
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ผลลัพธ์ทางจิตวิญญาณของความพยายามเหล่านี้ เป็นความสำเร็จอันมีค่าสูงสุด หมายถึง ความเป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้า โดยท่านกล่าวถึงบรรดาทหารว่า “พวกท่านทั้งหลาย จงมีความภูมิใจ ที่พวกท่านนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพของสาธารณรัฐอิสลาม ทั้งประชาชาติและบรรดาเจ้าหน้าที่ต่างก็รู้จักคุณค่าของกองทัพ และพวกท่านจะต้องรู้จักคุณค่าของตัวเอง ด้วยการเสริมสร้างจุดแข็งและกำจัดจุดอ่อนของสถาบันทหาร”
ในช่วงท้ายของการปราศรัยของอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำได้กล่าวแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในซีเรียและตุรกีครั้งล่าสุด และขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า จงมีแด่บรรดาผู้เสียชีวิต โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ต้องขอขอบคุณต่อพระองค์ที่บรรดาเจ้าหน้าที่ของประเทศของเราได้ให้การช่วยเหลือและจะดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง”
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ นายพลอากาศโท วาฮิดี ผู้บัญชาการกองทัพอากาศ ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับการผลิตที่สร้างความหวังและการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพของกองทัพนี้ในภาคส่วนต่างๆทางวิทยาศาสตร์และฐานความรู้ต่างๆ การผลิตอุปกรณ์ยุทโธปกรณ์ การเตรียมการสู้รบ การฝึกอบรม การก่อสร้าง และความช่วยเหลือ
No Result
View All Result