บรรดากลุ่มสตรี นักเคลื่อนไหวทางสังคมและวัฒนธรรม หลายร้อยคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม
“ข้ออ้างของชาติตะวันตกในการปกป้องสิทธิของสตรี เป็นการดูถูก การทำลายศักดิ์ศรีและเกียรติยศของสตรี”
Burapanews สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า บรรดากลุ่มสตรี นักเคลื่อนไหวทางด้านวัฒนธรรม สังคม วิชาการและวิทยาศาสตร์ หลายร้อยคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำได้อธิบายถึงมุมมองที่ก้าวหน้าและยุติธรรมของอิสลามที่มีต่อสตรี ในด้านต่างๆ อาทิเช่น ประเด็นเรื่องเพศ มนุษยธรรม สิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบส่วนปัจเจกบุคคลและครอบครัว บทบาทและหน้าที่ทางสังคมของสตรี เป็นต้น ขณะที่ชาติตะวันตกสมัยใหม่ได้โจมตีประเด็นด้านพื้นฐานหลักและการทรยศต่อสตรี โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “สตรีในบทบาทของภรรยา ถือว่าเป็นการแสดงออกถึงความรักและความสงบนิ่ง ขณะที่ในบทบาทของมารดา ก็เปรียบเสมือนกับการมีสิทธิในการดำเนินชีวิต ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องพึงสังเกตว่า ความเป็นแม่บ้านแม่เรือน ไม่ได้หมายถึง การที่นางต้องอาศัยอยู่ในบ้านเพียงเท่านั้น แต่ทว่า นั่นหมายถึง การยึดถือเอาบ้านมาเป็นรากฐาน ในขณะที่สตรีก็สามารถมีบทบาทในการขับเคลื่อนในเวทีด้านต่างๆของสังคม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้แสดงความรู้สึกพอใจเป็นอย่างมากกับแนวคิดที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นในคำพูดต่างๆของบรรดาแขกผู้รับเชิญจำนวนหนึ่ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ข้อเสนอเหล่านี้ จะต้องมีการใช้ประโยชน์จากบรรดาสตรี ผู้ทรงเกียรติที่มีความรู้ มีความเฉลียวฉลาดและมีประสบการณ์จากการตัดสินใจในระดับต่างๆและในระดับประเทศชาติ ถือเป็นประเด็นที่สำคัญที่สาละวนอยู่ในความคิดของข้าพเจ้า มาเป็นเวลานานมากแล้ว และหากพระเจ้าทรงประสงค์ เราจะหาวิธีการแก้ไขให้กับประเด็นดังกล่าว”
ก่อนที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม จะกล่าวอธิบายถึงมุมมองต่างๆของอิสลามที่มีต่อสตรีในเวทีด้านต่างๆ โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “จุดยืนของสาธารณรัฐอิสลามที่มีต่อเหล่าชาติตะวันตก ผู้ที่หยิ่งยะโสโอหัง ที่อ้างสิทธิในประเด็นสตรีว่า เป็นทั้งข้อเรียกร้องและการโจมตี เพราะว่า ชาติตะวันตกสมัยใหม่ ซึ่งมีวัฒนธรรมที่เสื่อมโทรม จะต้องรับผิดชอบในประเด็นนี้ และขณะเดียวกันได้ก่ออาชญากรรมต่อสิทธิ ชื่อเสียง เกียรติและศักดิ์ศรีของสตรี และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในมุมมองต่างๆของอิสลามด้วยการอธิบายและการกล่าวซ้ำอย่างเหมาะสม จากการใช้ภาษาและปลายปากกาของบรรดาสตรี ผู้ทรงเกียรติที่มีความรู้ แม้ว่าจะมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณชนชาวตะวันตก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ยกหลักฐานจากโองการอัลกุรอาน โดยท่านถือว่า การมีความเท่าเทียมกันของผู้ชายและผู้หญิง ในมุมมองทางมนุษยธรรมและประเด็นเรื่องเพศ เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อมั่นของอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “ในค่านิยมของอิสลามและมนุษย์นั้น ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างเพศชายและเพศหญิงเลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สิทธิและหน้าที่ของชายและหญิงนั้นมีความแตกต่างกัน แต่ทว่ายังมีความสมดุลระหว่างกันในอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ขณะที่ ระหว่างธรรมชาติของชายและผู้หญิงนั้นมีความแตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อความรับผิดชอบส่วนบุคคลในบ้านและในสังคม และโดยแท้จริงแล้ว ผู้หญิงหรือผู้ชายไม่ควรที่จะมีพฤติกรรมที่ต่อต้านธรรมชาตินี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หน้าที่ของผู้ชายและผู้หญิงในสังคมและประเด็นทางสังคมซึ่งมีหน้าที่เดียวกัน แต่ทว่าในการแสดงบทบาทและรูปแบบนั้นมีความแตกต่างกัน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ยกตัวอย่างเช่น ในสมัยการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีหน้าที่ในการปกป้องประเทศชาติ แต่ในบทบาทของทั้งสองนั้นมีความแตกต่างกัน แม้ว่า ผู้หญิงนั้นไม่แสดงสามารถแสดงบทบาทที่ดีกว่าผู้ชายได้ก็ตาม แต่อย่างน้อยที่สุด พวกเธอนั้นได้ปฏิบัติหน้าที่แสนยากลำบากนี้ด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวสรุปในประเด็นนี้ โดยท่านกล่าวว่า “ตรงกันข้ามกับระบบทุนนิยมปิตาธิปไตยของชาติตะวันตก ขณะที่ในอิสลามนั้น ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีความโดดเด่นในบางประเด็นและยังได้รับสิทธิพิเศษทางกฎหมาย ทางปัญญา ทั้งทางทฤษฎีและทางการปฏิบัติ แต่พวกชาติตะวันตกกลับพูดจาโกหกว่า อิสลามถือว่า ผู้ชาย คือ ผู้ที่กุมอำนาจสูงสุด (ปิตาธิปไตย) อย่างแท้จริง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า พื้นฐานหลักของระบบทุนนิยม หมายถึง ระบบทุนนั้นมีอำนาจที่เหนือกว่ามนุษย์ โดยท่านกล่าวว่า “ในมุมมองนี้ ผู้ใดก็ตามที่สามารถสะสมความมั่งคั่งได้มากยิ่งขึ้น ย่อมมีคุณค่าที่แท้จริงมากกว่า และโดยธรรมชาติแล้ว เมื่อพิจารณาถึงคุณลักษณะของผู้ชายในการสะสมทุนทรัพย์ จึงทำให้ระบบทุนนิยมได้กลายเป็นระบบปิตาธิปไตยนั่นเอง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เวทีของการทำงาน และมุมมองในการแสวงหาความสุขจากผู้หญิง เป็นสองประเด็นหลักที่ตะวันตกใช้ในการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้หญิง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า จุดประสงค์หลักของการหยิบยกประเด็นเรื่องเสรีภาพของผู้หญิงในตะวันตก คือ การนำพาผู้หญิงออกจากบ้านไปยังโรงงาน เพื่อใช้พวกเธอเป็นแรงงานที่มีราคาถูก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ปัญหาความขัดแย้งในการปลดปล่อยทาสผิวดำ จากเหตุสงครามกลางเมืองนองเลือดในอเมริกา เมื่อศตวรรษที่ 19 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการหลอกลวงและการแสวงผลประโยชน์ของระบบทุนนิยม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในเหตุการณ์นั้น เหล่าพวกนายทุนในอเมริกาเหนือ ได้นำพากลุ่มชนชาวผิวดำไปประกอบการเกษตรจากทางตอนใต้ไปยังทางตอนเหนือ ด้วยนามของเสรีภาพ และใช้พวกเขาด้วยการเป็นแรงงานที่มีค่าจ้างต่ำ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า มุมมองในการแสวงหาความสุขจากผู้หญิง เป็นการสร้างความเสียหายของชาติตะวันตกที่มีต่อสตรี โดยท่านกล่าวว่า “ประเด็นนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างแท้จริง ที่ระบบทุนนิยมได้ใช้วิธีการต่างๆในทุกรูปแบบ เพื่อที่จะโน้มน้าวผู้หญิงว่า ผลประโยชน์และคุณค่าของนางนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมทางเพศที่โดดเด่นและมากกว่าของนางที่ดึงดูดใจของผู้ชายบนท้องถนน และนี่คือ การทำลายศักดิ์ศรีและสถานภาพของสตรีครั้งใหญ่ที่สุด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า พวกชาติตะวันตกต่างพยายามที่จะสร้างผู้หญิงให้เป็นต้นแบบและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ชาย อันเป็นผลมาจากมุมมองแบบปิตาธิปไตยของระบบทุนนิยม โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “ ตรงกันข้ามกับมุมมองที่เสื่อมทรามนี้ ในอัลกุรอาน พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้ผู้หญิงเป็นแบบอย่างสำหรับผู้ชาย และพระองค์ทรงตรัสว่า ภรรยาของศาสดานูฮ์และภรรยาของศาสดาลูฏนั้น เป็นแบบอย่างสำหรับผู้ชายและผู้หญิงที่ปฏิเสธศรัทธา ขณะที่ภรรยาของฟาโรห์และท่านหญิงมัรยัมนั้นเป็นแบบอย่างสำหรับผู้ชายและผู้หญิงทุกคนที่มีความศรัทธา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการเปิดเผยสถิติและข้อเท็จจริง แม้แต่ศูนย์ทางการของประเทศชาติตะวันตกยังได้ประกาศด้วยเช่นกัน โดยถือว่า ข้ออ้างของตะวันตกในการปกป้องสิทธิของสตรี เป็นการดูถูกที่หยาบคายที่สุด โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เสรีภาพที่ระบบทุนนิยมอ้างนั้น ถือเป็นการกักขังและการดูหมิ่นต่อผู้หญิง และมนุษย์จะรู้สึกละอายแก่ใจอย่างยิ่งที่จะกล่าวถึงบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชาติตะวันตก หรือแม้แต่จะกล่าวถึงชื่อของเหตุการณ์นั้นเองก็ตาม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เสรีภาพในการมีความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในมุมมองของชาติตะวันตก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สายตาและหัวใจของผู้ชายพอใจ และลดปัญหาของผู้หญิง นั้นเป็นมุมมองที่ผิดพลาด โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การมีความสัมพันธ์อย่างเสรีภาพนี้ จะเป็นเหตุให้เกิดความโลภและตัณหาราคะให้กับเหล่าผู้ชายชาวตะวันตกเพิ่มมากขึ้นเป็นร้อยเท่า ในรูปแบบที่พวกเขาบอกเองว่า การละเมิดต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิง นอกเหนือจากตามท้องถนน สภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน และสภาพแวดล้อมในโรงเรียน ยังได้ขยายไปยังกองทัพในหมู่ทหารด้วยกันและกำลังจะเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวันอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “การประกอบค้าประเวณีและการเป็นทาสทางเพศ การทำลายขอบเขตทางศีลธรรมและจารีตประเพณีทั้งหมด และการทำให้ประเด็นต่างๆ เช่น การรักร่วมเพศ กลายเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย ซึ่งถือเป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด และเรื่องอื้อฉาวอื่นๆ อันเป็นผลมาจากมุมมองและวัฒนธรรมของตะวันตกที่มีต่อผู้หญิง ด้วยเหตุนี้เอง การหลีกเลี่ยงอย่างจริงจังจากการมีมุมมองแบบตะวันตกที่มีต่อประเด็นผู้หญิง จึงเป็นหนึ่งในหน้าที่ทางการปฏิบัติที่จำเป็นอย่างยิ่ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวแสดงความพึงพอใจที่บรรดาสตรี นักวิชาการ ผู้ทรงเกียรติ และผู้ศรัทธา เข้าร่วมในประเทศอย่างมากมาย โดยท่านถือว่า การอธิบายและการเปิดโปงในมุมมองที่สร้างความหายนะของชาติตะวันตก เกี่ยวกับประเด็นเรื่องเพศและประเด็นสตรี เป็นภารกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยท่านกล่าวว่า “การใช้สื่อสังคมออนไลน์ วิสัยทัศน์ของอิสลามในประเด็นผู้หญิงและผู้ชายในรูปแบบของการนำเสนอที่สั้นและชัดเจน เช่น การติดแฮชแท็ก การจัดระเบียบการ และการนำเสนอต่อผู้ที่กระหายข้อเท็จจริงเหล่านี้ โดยเฉพาะ ในกลุ่มประเทศชาติอิสลาม”
ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำได้ให้ความสนใจไปยังประเด็นของครอบครัวและบทบาทของสตรีในครอบครัว โดยท่านกล่าวว่า “การสร้างครอบครัวนั้นขึ้นอยู่กับกฏทั่วไปของการสร้างสรรค์ของพระเจ้า นั่นคือ กฏแห่งการแต่งงาน ซึ่งในมุมมองนี้ ตรงกันข้ามกับทัศนะเฮเกล และมาร์กซิสต์ ที่กล่าวว่า ต้นกำเนิดของการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นมาจากความขัดแย้ง เพราะว่า ตรรกะของอิสลามได้ยืนยันว่า การเคลื่อนไหวนี้ เป็นความต่อเนื่องของกลุ่มชนที่เกิดขึ้นจากการแต่งงานและการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ในขณะที่ทฤษฎีนี้ ยังจะต้องมีการดำเนินอย่างจริงจังและเป็นพื้นฐานอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุผลในการกำหนดข้อกฎหมายสำหรับการแต่งงานและการสร้างครอบครัวในศาสนาอิสลามและศาสนาอื่นๆ คือ การป้องกันความวุ่นวายและความไม่เป็นระเบียบ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การมีความระมัดระวังต่อกฎเหล่านี้ จะทำให้ครอบครัวและสังคมได้รับความปลอดภัย เนื่องจากครอบครัวนั้นเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบของสังคม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวอธิบายถึงบทบาทของผู้หญิงในครอบครัว โดยท่านได้เปรียบเปรยว่า ผู้หญิงดุจดั่งดอกไม้ และน้ำหอม ทั้งยังเป็นลมหายใจในบรรยากาศของบ้าน โดยท่านกล่าวว่า “ดังเช่น การที่ผู้หญิงในบ้านนั้นมีความสมัครใจที่จะทำงาน ถือว่าไม่เป็นปัญหาใดๆ แต่จากการรายงานอย่างเปิดเผยกล่าวว่า ผู้หญิงที่อยู่ในบ้านนั้นไม่ใช่แรงงานที่ผู้อื่นจะสามารถบังคับเธอให้ทำงานได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ผู้หญิงนั้นมีสองบทบาทหลักด้วยกัน กล่าวคือ บทบาทในฐานะของมารดาและการเป็นภรรยา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “สตรีในบทบาทของภรรยา เป็นการแสดงให้เห็นถึงความรักและความนิ่งสงบสำหรับผู้ชาย ซึ่งตัวอย่างที่เด่นชัดของบทบาทนี้ได้ระบุไว้ในหนังสือชีวประวัติของบรรดาภรรยาของชะฮีดทั้งหลาย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงคุณลักษณะพิเศษของบทบาทของสตรีในฐานะความเป็นมารดา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในบทบาทของความเป็นมารดา ผู้หญิง คือ ผู้ที่มีสิทธิในการดำเนินชีวิต เพราะว่าเธอเป็นผู้ที่ให้กำเนิดบุตรและเลี้ยงดูพวกเขาด้วยความรักอย่างที่ไม่มีเงื่อนไข ในขณะที่มารดานั้นมีบทบาทที่มากกว่านี้ ถือได้ว่า เป็นปัจจัยที่สำคัญในการถ่ายทอดองค์ประกอบทางเอกลักษณ์ของชาติ การหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งศรัทธาและการมีศีลธรรม จริยธรรมในบรรดาบุตรของเธอเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า บทบาทของความเป็นมารดาและภรรยา คือ สองบทบาทที่สำคัญที่สุดของผู้หญิง หมายถึง บทบาทในการเป็นแม่บ้านแม่เรือน โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “แน่นอนว่า การเป็นแม่บ้านแม่เรือน ไม่ได้หมายความว่า การที่สตรีต้องอาศัยอยู่ในบ้านเพียงเท่านั้น โดยปราศจากการเรียนรู้ การต่อสู้และการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนทางการเมืองและสังคม แต่ทว่าหมายถึง การที่ผู้หญิงสามารถทำงานอื่นใดได้ ภายใต้รากฐานของความเป็นแม่บ้าน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า ครอบครัวจะดำเนินต่อไปไม่ได้หากปราศจากการเข้าร่วมและความรู้สึกรับผิดชอบในหน้าที่ของผู้หญิง และเงื่อนงำบางอย่างก็ไม่สามารถที่จะคลี่คลายได้ เว้นแต่ด้วยนิ้วอันบอบบางของผู้หญิง โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เช่นเดียวกับที่ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าไม่มีผู้หญิงคนใดที่จะรักษาชีวิตของลูกของเธอด้วยการทำงานบางอย่าง และไม่ต้องสงสัยอีกด้วยเช่นกัน จากความสำคัญของการอบรมสั่งสอนทางด้านศีลธรรมและความศรัทธาให้กับบุตรของเธอ ดังเช่นที่ หากว่าผู้หญิงจะเลือกระหว่างทั้งสองอย่าง เธอก็จะเลือกครอบครัวว่ามีความสำคัญมากกว่า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า แน่นอนว่า การทำงานในภาคสังคมบางประการ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากกว่าทุกภารกิจอื่นๆ โดยท่านกล่าวว่า “บางครั้ง ความสำคัญของสิ่งที่มีความจำเป็นหนึ่ง อาจจะสูงส่งกว่าการรักษาชีวิตของบุตร สามี บิดาและมารดาเสียอีก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สภาพของครอบครัวในตะวันตกนั้น กำลังแตกสลาย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “อันตรายนี้ ทำให้เกิดเสียงประท้วงจากเหล่านักคิด นักปฏิรูปชาวตะวันตกที่มีความปรารถนาดี แต่การล่มสลายอย่างค่อยเป็นค่อยไปของครอบครัวในตะวันตกนั้น ได้เกิดเพิ่มมากขึ้น โดยที่ไม่สามารถที่จะหยุดหรือการปฏิรูปได้”
ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านได้กล่าวถึงประเด็นฮิญาบ(ผ้าคลุมศรีษะ) กล่าวว่า “ฮิญาบ เป็นสิ่งจำเป็นตามหลักชะรีอะฮ์(ศาสนาบัญญัติ)ของอิสลามอย่างที่ไม่ต้องสงสัย และไม่สามารถฝ่าฝืนได้ แต่ความจำเป็นที่ไม่อาจฝ่าฝืนนี้ ไม่ควรที่จะทำให้ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามฮิญาบอย่างไม่สมบูรณ์ ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ไม่นับถือศาสนาหรือต่อต้านการปฏิวัติอิสลาม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระหว่างการเดินทางเยือนจังหวัดหนึ่งของข้าพเจ้า ได้กล่าวกับหมู่นักการศาสนาในพื้นที่นั้นว่า ทำไมพวกท่านทั้งหลายจึงได้กล่าวหาผู้หญิงที่ผมของเธอออกนอกผ้าคลุมด้วย หรือที่เรียกกันว่า เป็นการสวมฮิญาบที่ไม่ดี หรือการสวมฮิญาบที่อ่อนแอ ในขณะผู้หญิงที่สวมฮิญาบแบบนี้ได้ออกมาให้การต้อนรับข้าพเจ้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งบุคคลเหล่านี้ เป็นผู้หญิงและเด็กผู้หญิงของพวกเรา ที่เข้าร่วมในพิธีกรรมทางศาสนาและในการปฏิวัติอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวขอบคุณต่อการเข้าร่วมของสตรีทั้งหลายในพิธีกรรมทางศาสนา และการขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าในค่ำคืนลัยละตุลก็อดร์ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ข้าพเจ้านั้นอิจฉาต่อน้ำตาเหล่านั้น และจะขอกล่าวว่า ข้าพเจ้าหวังว่า จะหลั่งน้ำตาได้ เหมือนกับเด็กผู้หญิงและสตรีเยาวชนผู้นั้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “การคลุมฮิญาบที่อ่อนแอ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้บุคคลนั้นถูกมองว่าอยู่นอกศาสนาหรือออกจากการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งเราทั้งหมดนั้น มีข้อบกพร่อง หากมีความเป็นไปได้ ก็จะต้องได้รับการแก้ไข”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การให้บริการของสาธารณรัฐอิสลามที่มีต่อผู้หญิง เป็นประเด็นที่สำคัญและไม่อาจจะลืมเลือน โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ก่อนการปฏิวัติอิสลาม มีสตรี ผู้ทรงเกียรติ นักวิชาการและนักวิจัยเพียงไม่กี่คน แต่หลังจากการปฏิวัติอิสลาม ได้นำไปสู่การเติบโตของสตรีที่มีการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ในลักษณะที่ว่า ในบางปี นักศึกษาผู้หญิงมีจำนวนมากกว่านักศึกษาผู้ชายและยังมีผู้หญิงจำนวนมากที่กำลังทำงานในสาขาวิชาการต่างๆทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความโดดเด่นของเด็กผู้หญิงชาวอิหร่านในเวทีการกีฬาทั่วโลก เป็นอีกเวทีหนึ่งของสตรีในความก้าวหน้า หลังจากการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า การส่งเสริมฮิญาบที่ดีที่สุด คือ การที่เด็กผู้หญิงและนักกีฬาผู้หญิงของพวกเราได้รับชัยชนะและได้ชูธงชาติของประเทศของเธอต่อหน้าเลนส์กล้องนานาชาติ ในขณะที่เธอสวมฮิญาบยืนอยู่บนเวทีชิงแชมป์”
ท่านอยาตอลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความพยายามอย่างมากมายในกรณีล่าสุดที่ต่อต้านการคลุมฮิญาบ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ผู้ใดหรือที่ยืนหยัดต่อความพยายามและการเรียกร้องเหล่านี้? ผู้หญิงทั้งหลายเองต่างหากที่ได้ยืนหยัด ในขณะที่ผู้ประสงค์ร้ายต่างฝากความหวังไว้กับผู้หญิงที่คลุมฮิญาบไม่ดีเหล่านี้ เพื่อที่จะถอดฮิญาบให้ออกจากศีรษะของพวกเธอ แต่ผู้หญิงเหล่านี้กลับไม่ได้กระทำเช่นนั้น และยังได้ตบหน้าของเหล่าผู้ยุ่ยงและผู้ส่งสารนี้อีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวประเด็นสุดท้าย ด้วยการแสดงรู้สึกความเสียใจต่อการมีความอยุติธรรมกับผู้หญิงในบางครอบครัว โดยท่านกล่าวว่า “บางครั้ง ผู้ชายใช้ความแข็งแกร่งทางร่างกายเพื่อที่จะกดขี่ต่อผู้หญิง และในกรณีเหล่านี้ เพื่อปกป้องสถาบันครอบครัว ควรมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวที่เข้มแข็งและมั่นคง ทั้งยังสนับสนุนต่อฝ่ายที่ถูกกดขี่ ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ชายไม่นั้นสามารถที่จะกดขี่ต่อผู้หญิงได้ แต่ทว่ายังมีในบางกรณีที่ผู้หญิงเป็นผู้กดขี่เสียเอง ซึ่งถือว่ามีจำนวนน้อยและมีจำนวนจำกัด”
ก่อนการกล่าวการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม บรรดาสตรีทั้ง 7 คน ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการพบปะกันครั้งนี้ ซึ่งมีรายชื่อดังต่อไปนี้
– อาเตเฟห์ คาเดมี นักวิจัยและสมาชิกสภาวัฒนธรรมและสังคมแห่งชาติ
– พะรีเชฮ์ร ญันนะตี นักเขียนและแม่บ้าน
– มัรยัม นักกอชาน นักกฏหมายประจำศาลยุติธรรม ทนายความคดีอาญาประเทศเยอรมนี
– มะฮ์ดีเยห์ ซาดาต เมฮ์วัร ผู้ชนะรางวัลภาพยนตร์สารคดีระดับชาติและระดับนานาชาติ
– ชะฮ์รซาด ซาเดห์มุดัรริส อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ชะฮีดเบเฮชตี
– นักกีน ฟารอฮานี นักกิจกรรมสาขาเด็กผู้หญิง ยุวชน
– ซารา ทาเลบี ปริญญาเอกสาขาด้านวิทยาการสื่อสารสังคมและสำเร็จการศึกษาในระดับสี่ของสถาบันศาสนา
ประเด็นต่างๆที่มีการแสดงความคิดและข้อเสนอ :
ความจำเป็นในการพัฒนาระบบนิเวศเฉพาะสำหรับผู้หญิง การรักษาและส่งเสริมแผนผังเมืองที่เหมาะสมเพื่อการพัฒนาวัฒนธรรมที่ถูกต้อง การพัฒนาสหกรณ์สตรี การปฏิรูปมุมมองของวัฒนธรรมในการเป็นแม่บ้านในหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบการศึกษาของประเทศ การนำเสนอภาพลักษณ์ที่ชัดเจนของผู้หญิงชาวอิหร่านต่อตะวันตก ความจำเป็นในการจ้างงานของสตรีที่ประสบความสำเร็จในระดับต่างๆของการบริหารประเทศ ความจำเป็นในการเข้าร่วมของผู้หญิงที่ได้รับการศึกษาในสภาระดับสูงสุดและหน่วยงานการตัดสินใจสำคัญของประเทศ ความจำเป็นในการอธิบายความได้เปรียบ เชิงเปรียบเทียบของผู้หญิงเมื่อเทียบกับสาธารณรัฐอิสลาม การปฏิรูปการเป็นตัวแทนของผู้หญิงในการผลิตสื่อ ความจำเป็นในการปฏิรูปแรงจูงใจของนโยบายการเพิ่มประชากรให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของมารดา การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่มารดามีความต้องการ รวมทั้งห้องเด็กในมหาวิทยาลัยและศูนย์ราชการ ความจำเป็นในการจัดตั้งศูนย์สื่อของสตรี ความจำเป็นในการฟื้นฟูและการจัดเตรียมโรงพยาบาลเฉพาะทางสตรีและสนับสนุนเจ้าหน้าที่พยาบาลเฉพาะสตรี ความจำเป็นในการสร้างและการส่งเสริมสตรีต้นแบบสำหรับวัยรุ่น การจัดตั้งกรอบธรรมาภิบาลสำหรับกิจกรรมของสตรี ในระดับขั้นมุจญ์ตะฮิดในสถาบันศาสนาและความจำเป็นในการขยายการเผยแพร่ในสถาบันศาสนาเฉพาะสตรี
ทั้งหมดเหล่านี้ คือ ประเด็นที่มีการนำเสนอในการพบปะกับท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม
ที่มา
https://english.khamenei.ir/news/9388/Not-only-has-the-West-oppressed-women-they-have-also-been-hypocritical