กรณี ฮิญาบอนุบาลปัตตานี ปัญหาที่บานปลายกับการชัดใยอยู่เบื้องหลัง
Burapanews รายงานว่า สื่อมุสลิม Mtoday รายงานว่า หลังมีกลุ่มคณะบุคคลกลุ่มหนึ่ง ได้ประชุมร่วมกันเพื่อแก้ปัญหากรณี อนุบาลปัตตานีสั่งห้ามนักเรียนมุสลิมสวมฮิญาบเข้าโรงเรียน และที่ประชุมเห็นด้วยให้ยื่นหนังสือให้ย้ายผอ.โรงเรียน แต่ระหว่างการประชุมก็มีชาวบ้านอีกส่วนหนึ่ง มีท่าทีไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวในลักษณะที่รุนแรง และเห็นว่า กระบวนการยุติธรรมกำลังเดินหน้าอยู่ ไม่ช้าไม่นานก็น่าจะเรียบร้อย ไม่ต้องการให้เกิดกระแสความขัดแย้ง
ในขณะที่กลุ่มหนึ่ง เดินหน้ากดดันด้วยการใช้พลังมวลชน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามที่ตนต้องการ
ทำให้หลังจากการประชุมนำไปสู่การโจมตีกันของ 2 ฝ่ายอย่างหนักหน่วงและรุนแรง ถึงขนาดท้ายิงกันผ่านไลฟ์สด ซึ่งไม่ใช่วิถีทางแห่งสันติ ตามแบบอิสลาม ที่เมื่อเจอหน้ากันก็จะทักทายกันว่า ขอความสันติจงมีแด่ท่าน
เป็นความสันติ ที่หมายถึงความสงบในจิตใจ ไร้ความขุ่นมัวและการอาฆาตมาดแค้น
ปัญหากรณีฮิญาบอนุบาลปัตตานี เป็นเพียงภูเขาน้ำแข็ง ที่โผล่ขึ้นมาเพียงนิดเดียว แต่ด้านล่างมีก้อนน้ำแข็งอันมหึมาซ่อนอยู่ ผอ.โรงเรียนอนุบาลก็เป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่ง แต่มีเบื้องหลังที่น่ากลัวมากกว่านั้น
มองแบบพื้นๆ การใช้กำลังกดดันเพื่อเอาชนะอาจจะเป็นความสำเร็จ เป็นชัยชนะ แต่ในระยะยาวไม่เป็นผลดี เพราะรอยแยก ความขุ่นมัว ความไม่พอใจ ความโกรธแค้นชิงชัง ที่จะต้องเอาคืน ไม่ได้หนทางนี้ก็จะหาหนทางใหม่
ปัญหาในภาคใต้ กลายเป็นปัญหาที่มีความสลับซับซ้อน ที่มีตัวละครเข้ามาเป็นผุ้เล่นเกมหลายฝ่าย หากย้อนกลับไปจากสถานการณ์ที่มีเหตุการณ์รุนแรงในภาคใต้ ตั้งแต่ปี 2547 มีขบวนการสร้างความแตกแยกระหว่างประชาชน 2 ฝ่ายควบคู่กันไป วัดในภาคใต้ได้กลายเป็นหมากตัวหนึ่ง โดยเบื้องหลังจะมี วัดใหญ่วัดหนึ่งสนับสนุนปัจจัยให้วัดเกือบทุกแห่ง ด้วยเหตุผลให้วัดอยู่ได้และให้มองว่า ฝ่ายมุสลิมต้องการทำลายวัดและพระ ดดยหยิบเอาบางสถานการณ์มาขยายผล อาทิ การทำร้ายพระ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงเป้าหมายของผู้ก่อเหตุคือทหาร และเจ้าหน้าที่รัฐด้านความมั่นคง แต่เจ้าหน้าที่ไปสร้างฐานในวัดเลยถูกนำมาอธิบายว่า มีเจตนาทำลายวัด ทำร้ายพระ ซึ่งไม่เป็นความจริง
แต่กระแสนี้ถูกนำไปขยายผลสร้างบาดแผลความขัดแย้งของคน 2 กลุ่ม และขบวนการนี้ก็ยังขยายผลความขัดแย้งต่อเนื่อง
กรณีฮิญาบอนุบาลปัตตานี อยู่กันมาหลายสิบปีไม่มีปัญหา เพราะโรงเรียนแม้จะใช้ที่ดินวัด หรือธรณีสงฆ์เป็นส่วนใหญ่ แต่ส่วนหนึ่งก็มีที่ดินที่มุสลิมบริจาคด้วย เพิ่งมาเมื่อปี 2561 ที่มีการออกระเบียบห้ามนักเรียนสวมฮิญาบโดยอ้างที่ดินธรณีสงฆ์ โดยมติของคณะกรรมการสถานศึกษา ซึ่งต้องไปดูรายชื่อว่า เป็นใครบ้าง และเชื่อมโยงกับขบวนการเคลื่อนไหวของ ‘วัดใหญ่’อย่างไร ผอ.โรงเรียนแค่เล่นบทผู้อำนวยการเท่านั้น จะย้ายผอ.ไปกี่คนปัยหาก็ยังคงอยู่
จะเห็นว่า ผอ.คนนี้เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นาน แต่ปัญหามีมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นผอ.คนใหม่เข้ามาก็ไม่แตกต่างกัน
เพียงเพียงมีวัดใหญ่อยู่เบื้องหลัง แต่รัฐบาลคสช.เอง ก็เป็นผู้ตอบสนองในปัญหานี้ด้วย จากการไปแก้ไขระเบียบที่ออกในสมัยนายอรีเพ็ญ อุตรสินธุ์ เป็นรมช.ศึกษา ให้นักเรียนรทั้งประเทศศวมฮิญาบได้ ก็ไปแก้ไขให้โรงเรียนที่ดินธรณีสงฆ์ ให้เป็นไปตามระเบียบของวัด กลายเป็นว่า รัฐบาลคสช. เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วย
การแก้ปัญหาโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ทำให้ปัญหาไม่ถูกขยายไปสู่ความขัดแย้งบานปลาย และเป็นแนวทางที่ทุถกฝ่ายต้องยอมรับและปฏิบัติตาม ฝ่ายที่ใจร้อนต้องการเห็นปัญหาได้รับการแก้ไขในเร็วพลัน และไปโจมตีฝ่ายที่ต้องการสู้อย่างสันติตามระบบเป็นผู้ไม่รักอิสลามนั้น ควรจะตั้งสติและมองปัญหาให้รอบด้า่น ผู้หลักผู้ใหญ่ ที่เป็นถึงระดับอดีตรองผู้ว่าฯ ควรจะให้สติและไม่ใช่ลอยไปตามกระแส
จะเห็นว่า ในการประชุมไม่มี ผู้ปกครองที่ร่วมฟ้องศาลปกครองเข้าร่วมเลย ประธานกอ.ปัตตานี ก็ไม่เห็นด้วย เพราะไม่ต้องการให้องค์กรศาสนาถูกนำไปขยายผล คนปัตตานีส่วนหนึ่งก็ไม่อยากให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง เพราะพวกเขาเป็นคนที่ต้องเผชิญกับปัญหาทุกวันๆ
ทุกคนต่างก็อ้างว่า รักอิสลาม ต้องการทำเพื่ออิสลาม และโจมตีคนที่เห็นต่างว่า เป็นคนไม่รักอิสลาม แบบตัวข้าดีอยู่คนเดียว ไม่ใช่แนวทางของอิสลาม ตรงกันช้าม อาจเป็นกระแสย้อนกลับทำลายภาพลักษณ์ของอิสลาม เหมือนที่โลก มองอิสลามว่า เป็นศาสนาแห่งความรุนแรง กลายเป็นกระแสเกลียดชังอิสลาม ที่เรียกว่า อิสลาโมโฟเบีย ที่เรากำลังเผชิญอยู่
ด้วยจิตคารวะ
Mtoday
No Result
View All Result