ศาลสูงสหรัฐฯ อาจคว่ำกฎหมายทำแท้งเสรี ส่งผลให้ประชาชนออกมาประท้วงหนัก
นักเคลื่อนไหวกลุ่มต่อต้านการทำแท้ง และกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิการทำแท้งได้ออกมาเดินขบวนประท้วงในกรุงวอชิงตันเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา หลังมีข่าวว่า ศาลสูงสหรัฐฯ อาจคว่ำกฎหมาย Roe v. Wade ปี 1973 ซึ่งอนุญาตให้สตรีสามารถยุติการตั้งครรภ์อย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ทั่วประเทศ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลัง Politico รายงานข่าวโดยอ้างเอกสารความเห็นส่วนใหญ่ที่หลุดออกมาว่า ศาลสูงสหรัฐฯ ได้ลงคะแนนเสียงให้ยกเลิกกฎหมาย Roe v. Wade โดยภายหลังจากที่มีการเผยแพร่รายงานดังกล่าวออกไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง กลุ่มนักกิจกรรมต่อต้านการทำแท้งเสรีก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน พร้อมตะโกนโห่ร้องเชียร์นโยบายดังกล่าว ขณะที่กลุ่มสนับสนุนสิทธิการทำแท้งก็ได้ออกมาประท้วงหน้าศาลฎีกาเช่นกัน พร้อมชูสโลแกนว่า “การทำแท้งเป็นส่วนหนึ่งของบริการด้านสุขภาพ”
อย่างไรก็ตาม การถกเถียงเรื่องเสรีภาพในการยุติการตั้งครรภ์ของสตรีนั้นถือเป็นปัญหาทางการเมืองที่ ‘แก้ไม่ตก’ และเป็นปัญหาเรื้อรังมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว
ในปี 2021 สถาบัน Pew Research Center เคยจัดทำผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งผลออกมาว่า 59% ของชาวอเมริกันมองว่าการยุติการตั้งครรภ์ควรทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในทุกกรณีหรือเกือบทุกกรณี ขณะที่ 39% ระบุว่า ควรจัดให้การทำแท้งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
Politico ตีแผ่เอกสารที่หลุดออกมาลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ซึ่งมีการแสดงความคิดเห็นของ ซามูเอล อาลิโต ผู้พิพากษาสายอนุรักษนิยมที่ระบุว่า “การออกกฎหมายทำแท้งมีข้อผิดพลาดตั้งแต่ต้น”
ตามกฎหมาย Roe v. Wade นั้น สตรีจะได้รับอนุญาตให้สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในช่วง 6 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ (ก่อนสัปดาห์ที่ 24-28 ของการตั้งครรภ์) ซึ่งเป็นช่วงที่ตัวอ่อนของทารกยังไม่สามารถดำรงชีวิตนอกครรภ์มารดาได้
ซามูเอล อาลิโต มองว่า การตรากฎหมายดังกล่าวนั้นมีข้อผิดพลาด เนื่องจากรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ไม่ได้กล่าวถึงสิทธิในการทำแท้งอย่างเฉพาะเจาะจง พร้อมระบุว่า “การทำแท้งทำให้เกิดข้อกังขาด้านมนุษยธรรม อีกทั้งรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ก็ไม่ได้สั่งห้ามชัดเจนว่า แต่ละรัฐจะไม่มีสิทธิออกข้อกำหนดหรือออกกฎหมายห้ามการทำแท้ง”
นอกจากนี้ ผู้พิพากษาที่ได้รับการแต่งตั้งจากพรรครีพับลิกันอีก 4 คน ได้แก่ คลาเรนซ์ โทมัส, นีล กอร์ซุช, เบรตต์ คาวานอห์ และ เอมี โคนีย์ บาร์เรตต์ ก็ลงมติเห็นด้วยกับซามูเอล อาลิโต ในการประชุมที่จัดขึ้นระหว่างบรรดาผู้พิพากษา แต่ถึงเช่นนั้น การพิจารณากฎหมายจะถือเป็นที่สิ้นสุดก็ต่อเมื่อศาลมีการประกาศต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการเท่านั้น
สำนักข่าวรอยเตอร์ Reuters รายงานว่า กระแสข่าวดังกล่าวได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ อีกทั้งการที่มีเอกสารรั่วไหลออกมาจากศาลยังเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่ง
คลินิกให้บริการทำแท้งถือเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง แอนเดรีย กัลเลกอส ผู้บริหารระดับสูงของคลินิก Tulsa Women’s Clinic รัฐโอคลาโฮมา เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เธอได้โทรหาคนไข้ 25 รายที่มีกำหนดทำแท้งในวันนี้เพื่อขอยกเลิกนัดหมาย เพราะอีกไม่นานจะมีตรากฎหมายห้ามทำแท้งที่เข้มงวด ซึ่งเธอยอมรับว่ารู้สึกประหลาดใจมากกับข่าวที่เกิดขึ้น
“ตอนนี้รัฐหัวอนุรักษนิยมอื่นๆ ที่เหมือนกับโอคลาโฮมาก็คงกำลังผ่านร่างกฎหมายนี้เหมือนกับที่รัฐเท็กซัสทำ ดิฉันยอมรับว่ารู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของสิทธิการทำแท้งในสหรัฐ”
ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวยังถือได้ว่าเป็นประเด็นที่มีอิทธิพลต่อทิศทางการเมืองของสหรัฐฯ และขณะนี้ก็เหลือเวลาอีกเพียงราวๆ 6 เดือนก่อนที่การเลือกตั้งกลางเทอมจะเปิดฉากขึ้น ซึ่งจะเป็นการชี้ชะตาว่าพรรคเดโมแครตจะสามารถครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสไว้ได้หรือไม่ ในช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เหลืออีก 2 ปี
สื่อคาดการณ์ว่า พรรครีพับลิกันจะเดินหน้าผลักดันให้มีการออกกฎหมายห้ามทำแท้งทั่วประเทศ สวนทางกับพรรคเดโมแครตที่พยายามจะปกป้องสิทธิด้านการทำแท้งของสตรี
พรรคเดโมแครตกล่าวว่า ร่างความเห็นของบรรดาผู้พิพากษาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเลือกตั้งในปีนี้ ซึ่งพวกเขาพยายามจะรักษาเสียงข้างมากในสภาเอาไว้ให้ได้ ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันวิพากษ์วิจารณ์ว่า การที่มีเอกสารหลุดออกมานั้นเป็นเพราะมีคนจงใจจะกดดันศาลให้เปลี่ยนแนวทางการตัดสินใจดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ในท้ายที่สุดศาลจะตัดสินใจคว่ำกฎหมายทำแท้งจริง แต่สตรีในสหรัฐฯ จะยังคงสามารถทำแท้งได้อย่างถูกกฎหมายในหลายๆ รัฐเสรีนิยม เนื่องจากปัจจุบันมีหลายรัฐที่ออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิในการทำแท้งเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงเช่นนั้น รัฐจำนวนมากที่มีสมาชิกพรรครีพับลิกันเป็นผู้นำได้พยายามออกข้อจำกัดด้านการทำแท้งอยู่หลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา