ชาวยูเครนกว่า 3 ล้านคนต้องอดตาย ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต
Burapanews สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เมื่อครั้งที่ยูเครนยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตเคยเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่าโฮโลโดมอร์ (Holodomor) หรือการเข่นฆ่าด้วยการปล่อยให้เกิดภาวะอดอยาก จนถึงขั้นทำให้ประชาชนต้องล่ากันเองเพราะความหิวโหย ซึ่งเหตุการณ์นี้คร่าชีวิตชาวยูเครนไปมากกว่า 3.5 ล้านคน
“ตอนนี้ฉันยังไม่เป็นมนุษย์กินคน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นหรือยังเมื่อจดหมายฉบับนี้ไปถึงมือเธอแล้ว” แพทย์หญิงคนหนึ่งเขียนจดหมายถึงเพื่อนในเดือนมิ.ย. 1933
เธอกล่าวว่ามันเหมือนเป็นการต่อสู้ระหว่างคุณธรรมและการเอาตัวรอด คนดีจะต้องตายก่อน คนที่ไม่ยอมขโมยก็ตาย คนที่สละอาหารให้คนอื่นก็ตาย คนที่ไม่ยอมกินศพก็ตาย คนที่ไม่กล้าฆ่าเพื่อนมนุษย์ก็ตาย หลักฐานการกินเนื้อคนได้รับการบันทึกหลายครั้งในช่วงโฮโลโดมอร์
จนมีการติดโปสเตอร์ประกาศว่า “การกินลูกตัวเองเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน”
ยูเครน ถือเป็นหนึ่งในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก อุดมไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร จนถูกเรียกว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของยุโรป แต่ในช่วงปี 1932-1933 ภายใต้ผู้นำเผด็จการคือ โจเซฟ สตาลิน มีการใช้มาตรการโฮโลโดมอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายระบบนารวมของสหภาพโซเวียต ที่กำหนดให้พืชพลทางการเกษตรทั้งหมดที่เก็บเกี่ยวได้ในยูเครนต้องถูกส่งไปที่ส่วนกลาง
ทำให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงและการขาดแคลนอาหารขึ้นทั่วประเทศจนผู้คนล้มตาย ขณะที่ชาวนาและปัญญาชนที่ต่อต้านระบบดังกล่าวถูกกวาดล้างหรือเนรเทศไปยังไซบีเรีย ที่หนาวเย็นและกันดาร
ไม่เพียงแต่พืชผลทางการเกษตรเท่านั้นแต่ทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นของชาวนาต้องถูกเวนคืนเป็นของรัฐ ทั้งที่ดิน ข้าวของ หรือแม้แต่เมล็ดพันธุ์ ซึ่งหากใครฝ่าฝืนมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปีหรือประหารชีวิต
นีน่า คาร์เพนโก ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์โฮโลโดมอร์ ในปี 2013 กล่าวว่า พวกเขายึดข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ยึดทุกอย่าง เราไม่เหลืออะไรเลย
ประชาชนขาดแคลนอาหารในขณะที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังมีการปิดกั้นไม่ให้พวกเขาเดินทางออกจากยูเครน และปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงอาหารหรือข้าวของจากภายนอก
No Result
View All Result