<!-- wp:paragraph --> <h2><br /><br /><strong>นายกรัฐมนตรีเยือนซาอุดิอาระเบีย ร่วมตั้งมั่นฟื้นฟูมิตรภาพความสัมพันธ์ เดินหน้าความร่วมมือเพื่อประวัติศาสตร์หน้าใหม่ร่วมกัน</strong><br /><br /><br /></h2> <h4><strong><a href="https://burapanews.com/">Burapanews</a> </strong> รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 เวลา 07.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ซึ่งประกอบด้วยบุคคลสำคัญ อาทิ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ออกเดินทางไปยังกรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ในโอกาสเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ<br /><br />หลังจากนั้น เวลา 11.20 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงริยาด (เท่ากับเวลา 15.20 น. ตามเวลาประเทศไทย) นายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางถึงกรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และต่อมาในเวลา 13.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงริยาด (เท่ากับเวลา 17.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ พร้อมเข้าเฝ้าฯ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งซาอุดีอาระเบีย เพื่อหารือข้อราชการ ณ สำนักพระราชวังซาอุดีอาระเบีย (Royal Court) พระราชวังอัล ยะมามะฮ์ (Al Yamamah Palace)<br /><br />โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการหารือ สรุปสาระสำคัญดังนี้<br /><br />นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 25 มกราคม 2565 ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammad bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นการเยือนในระดับผู้นำรัฐบาลระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี ซึ่งมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียทรงให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีอย่างสมเกียรติ โดยทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันความตั้งใจร่วมกันในการสะสางประเด็นที่คั่งค้างทั้งหมดระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย และปรับความสัมพันธ์ระหว่างสองราชอาณาจักรให้เป็นปกติ รวมทั้งยังได้ย้ำความสำคัญของการส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรของสองราชอาณาจักร และการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย<br /><br />นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับความสัมพันธ์ฉันมิตรกับชาอุดีอาระเบีย และแสดงความเสียใจยิ่งต่อโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นที่ประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2532-2533 ยืนยันว่า ไทยได้พยายามอย่างที่สุดแล้วในการสะสางกรณีต่าง ๆ และหากมีหลักฐานใหม่ก็พร้อมที่จะนำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยพิจารณา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้ยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อดูแลความปลอดภัยของคนชาติของกันและกันในแต่ละประเทศ<br /><br />ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นในภูมิภาคและระหว่างประเทศต่าง ๆ และได้หารือถึงแนวทางในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีในทุกสาขา และยังเห็นพ้องที่จะเพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์ และการติดต่อประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของแต่ละฝ่าย เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองราชอาณาจักร<br /><br />ไทยและซาอุดีอาระเบียคำนึงถึงจิตวิญญาณของความร่วมมือและความตั้งใจร่วมกัน เพื่อฟื้นฟูมิตรภาพและความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างสองราชอาณาจักรและประชาชน ภายใต้การนำและพระราชวิสัยทัศน์อันเข้มแข็งของ สมเด็จพระราชาธิบดีซัสมาน บิน อับดุลอะชีซ อัลชะอุด (His Majesty King Salman bin Abdulaziz Al Saud) และมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันให้ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันให้เป็นปกติอย่างสมบูรณ์ ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความพยายามในหลายระดับของทั้งสองฝ่ายที่มีมาอย่างยาวนาน เพื่อฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างกัน<br /><br />นอกจากนี้ ยังเห็นพ้องกับขั้นตอนสำคัญต่าง ๆ ที่จะดำเนินการเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคี ซึ่งรวมถึงการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำเมืองหลวงของทั้งสองประเทศในอนาคตอันใกล้ และการจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี การติดต่อประสานงานอย่างเต็มที่จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงหลายเดือนหน้า เพื่อหารือความร่วมมือทวิภาคีในสาขายุทธศาสตร์ที่สำคัญ<br /><br />ทั้งสองฝ่ายได้หารือแนวทางในการส่งเสริมและเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสองราชอาณาจักรโดยการแสวงหาโอกาสในด้านการลงทุนและอื่น ๆ ในบริบทของวิสัยทัศน์ ค.ศ 2030 ของซาอุดีอาระเบีย และวาระการพัฒนาแห่งชาติของไทยอย่างนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio - Circular - Green Economy) และเห็นพ้องที่จะแสวงหาความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ อาทิ พลังงานทดแทน สิ่งแวดล้อม การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนา และความมั่นคงทางไซเบอร์ นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำความสำคัญของการส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับประชาชน ซึ่งจะเป็นรากฐานสำหรับความสัมพันธ์ที่กำลังเดิบโตระหว่างทั้งสองราชอาณาจักร รวมทั้งการส่งเสริมการสนทนาแลกเปลี่ยนระหว่างศาสนาและพหุวัฒนธรรม<br /><br />ไทยและซาอุดีอาระเบียเห็นพ้องที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกันในองค์การและเวทีระหว่างประเทศ และเนันย้ำความสำคัญของการยึดมั่นของทุกประเทศต่อกฏบัตรสหประชาชาติ บรรทัดฐานระหว่างประเทศ รวมถึงหลักการการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี การเคารพในบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตย การไม่แทรกแซงกิจการภายใน และการระงับข้อขัดแย้งโดยสันติวิธี พร้อมยังยินดีกับบทบาทที่สร้างสรรค์ของกันและกันในแต่ละภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทที่สำคัญของไทยในอาเชียน และบทบาทนำของชาอุดีอาระเบียในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ ความมั่นคง และการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม<br /><br />นายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีกับซาอุดีอาระเบียสำหรับความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพและการจัดการประชุมผู้นำกลุ่ม G20 ซึ่งได้ส่งผลเชิงบวกในหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจ การพัฒนาสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข พลังงาน เป็นต้น ซึ่งมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรชาอุดีอาระเบียทรงแสดงความมั่นใจว่าการเป็นเจ้าภาพกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation: APEC) และการประชุมกรอบความร่วมมือความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation: BIMSTEC) ในปี 2565 ของไทยจะประสบความเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเติบโตที่ยั่งยืน สมดุล และมีส่วนร่วมของเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลก<br />ในยุคหลังโรคโควิด-19<br /><br />ไทยยินดีกับกับข้อริเริ่มซาอุดีอาระเบียสีเขียว (Green Saudi Initiative) และตะวันออกกลางสีเขียว (Middle East Green Initiative) ที่ริเริ่มโดยมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย รวมถึงชื่นชมบทบาทนำของซาอุดีอาระเบียในประเด็นระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบเชิงบวกต่อภูมิภาคและประชาชน มกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรชาอุดีอาระเบียทรงชื่นชมนโยบาย BCG ของไทย ซึ่งมุ่งส่งเสริมการใช้ทรัพยากรประสิทธิภาพ แปลงขยะให้กลายเป็นความมั่งคั่ง ฟื้นคืนความหลากหลายทางชีวภาพ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม<br /><br />ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะชีช อัลชะอูด และมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และได้ถวายพระพรชัยมงคลแด่ทั้งสองพระองค์ให้ทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ และขออวยพรให้ประชาชนชาวซาอุดีอาระเบียมีความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรือง ด้านมกุฏราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียได้ถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์และทรงพระเจริญ และทรงอำนวยพรให้นายกรัฐมนตรีมีสุขภาพดี ประสบความสุขสวัสดี และทรงอำนวยพรให้ประชาชนชาวไทยมีความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรือง<br /><br />ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือข้อราชการ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งซาอุดีอาระเบีย พระราชทานอาหารเลี้ยงกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี ณ พระราชวังอัล ยะมามะฮ์<br /><br />ที่มา<strong><a href="https://www.thaigov.go.th/"> เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล</a></strong></h4> <!-- /wp:paragraph -->